ตอน : หลักคิดของคนหัวใจ km แห่งบ้านตะแบง(2)
จากหลักคิด ททท (ทำทันที) ที่พ่อสำเริงนำมาใช้สร้างงานแล้ว ท่านยังบอกว่า “ถ้าเรามีความคิดที่จะทำแล้วขาดความรู้ในเรื่องที่จะทำ หรือมีความรู้ในเรื่องนั้นแล้วขาดการนำมาจัดการในเรื่องที่จะทำ เท่ากับว่างานเราไม่สำเร็จแล้ว ไม่ต้องคิดให้ยากเลยเพราะคำตอบที่เกิดจากงานคือมันไม่สมบูรณ์ มันไม่ดีเท่ากับที่เราลงแรงไป ถ้าคนไม่สู้อาจจะเสียกำลังใจไปเลยไม่อยากทำต่อ”
จากการที่พ่อสำเริงยืนหยัดในการทำทันทีของท่านโดยไม่เปลี่ยนใจนั่นคือสิ่งที่เล่าบอกว่า “ในเมื่อเราอยากทำสิ่งนั้นเราก็ควรหาความรู้จากสิ่งนั้นก่อน อาจจะรู้นิดหน่อย ยังไม่พอที่จะทำได้ ก็ไม่เห็นยากเลย เราก็ไปหาคนที่เราคิดว่าเขารู้เรื่องนั้นมากกว่าเราซิ พูดคุย ซักถาม สอบถามในสิ่งที่เราอยากรู้และไม่รู้ เขาไม่หวงหรอก เราไปขอดูจากที่คนอื่นเขามีความรู้แล้วเขาทำ เราก็มาทำของเรา พัฒนาของเราไปเรื่อย ๆ ขอแต่อย่าผลัดวันหรือขี้เกียจก็พอนะ”
จากที่พูดคุยกันทำให้เราเห็นว่าพ่อสำเริงเกิดการผสมผสานความรู้ ต่อยอดความรู้ที่มีอยู่เดิมเข้ากับความรู้ใหม่ที่ได้มาจากประสบการณ์ของคนอื่นด้วย สิ่งที่พ่อสำเริงนำมาใช้ร่วมคือ การจัดการความรู้นั่นเอง โดยนำความรู้ใหม่ที่ศึกษามาต่อยอดกับความรู้เก่าที่มีอยู่ แล้วก็ลงมือ ททท ตามที่ตั้งใจไว้
“ในแปลงผมนี้มีการจัดการเรื่องน้ำก่อนนะ คือถ้าเราไม่มีน้ำก็ทำอะไรที่เกี่ยวกับเกษตรอย่างเราเราได้ยากมาก พอดีว่าผมได้เรียนรูู้เรื่องการจัดการน้ำมาจากท่าน ดร.แสวง รวยสูงเนิน ที่ท่านลงมาทำโครงการน้ำกับชุมชน นั่นแหละ ผมเลยได้เปรียบคนอื่นหน่อย”
การจัดการน้ำในแปลงของพ่อสำเริง นอกจากจะมีบ่อน้ำเพื่อกักเก็บน้ำแล้ว ยังใช้พื้นที่ช่วยในการจัดการด้วย นั่นคือ ขอบรอบนอกจะทำสูงแล้วให้ลาดเอียงไล่ระดับเข้ามาในแปลง บริเวณขอบบ่อน้ำจะต่ำกว่าขอบแปลงของพื้นที่ และรอบแปลงจะขุดร่องน้ำตื้น ๆ พอให้น้ำใหลเวียนรอบแปลงได้ แล้วตั้งปั๊มน้ำไว้สูบน้ำจากบ่อต่อท่อให้น้ำใหลวนรอบแปลงและปล่อยน้ำให้ล้นร่องน้ำรอบแปลงเพื่อให้น้ำใหลบ่าเข้ามาในพื้นที่แปลงทุก ๆ ด้าน เป็นการรดน้ำต้นไม้ต่าง ๆ ที่ปลูกไว้ในแปลง วันแรก ๆ อาจจะใช้น้ำมาก แต่ถ้า พื้นที่มีความชื้นอยู่ตลอด เราไม่ปล่อยให้แห้ง ก็จะประหยัดน้ำได้อีกทางหนึ่ง เพราะวันต่อ ๆ มาก็จะใช้น้ำน้อยลง พื้นที่ก็จะมีความชื้นอยู่ได้นาน
“พอได้เรื่องน้ำแล้วผมก็มาจัดการเรื่องพืชผัก ไม้ผล ไม้ยืนต้น ต่าง ๆ ที่จะนำมาปลูกในแปลงของผม ตอนแรกปลูกทุกอย่างที่อยากจะปลูกก่อน แล้วตอนหลังมาได้เข้าร่วมโครงการกับคุณพ่อสุทธินันท์ แล้วท่านก็ให้ความรู้เรื่องการปลูกป่า ปลูกพืช ทำแปลงเกษตรปราณีต ทั้งได้เห็นที่ท่านได้ลองทำให้ดู ได้เรียนรู้ กับกลุ่มนักวิชาการหลาย ๆ ท่าน ที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ที่มีความรู้ในเรื่องเกษตร ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ทำให้ผมยิ่งต้องมาเร่งงาน ททท ของผมมากขึ้น”
จากความรู้ที่ได้มา พ่อสำเริงไม่หยุดนิ่งกลับมาจากประชุม อบรมถึงบ้านเวลาใดก็ตาม ไม่ว่าจะกลางวันกลางคืน ท่านบอกว่านอนไม่หลับแน่ถ้ารอทำในวันรุ่งขึ้น ดังนั้นได้ความรู้เรื่องใดมา หรือได้พันธุ์ไม้ พันธุ์ปลา พันธุ์สัตว์ ชนิดใดมาก็ตามท่านจะไม่รอพรุ่งนี้ จะจัดการให้เรียบร้อยก่อนจึงจะพักผ่อนได้ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ดึกดื่่นเที่ยงคืน ก็ต้องทำก่อนทุกครั้ง
“ในแปลงของผมนี่นะผมปลูกไม้อยู่ 3 อย่าง คือ
1. ไม้ใช้งาน จะเป็นไม้ยืนต้น ผมปลูกไว้เพื่อเป็นเงินออมระยะยาว เช่น ไม้ยางนา
2. ไม้ที่เป็นพืชผักแต่เป็นไม้ต้นสูง ปลูกไว้เพื่อเป็นเงินออมในระยะกลาง เป็นการเก็บผลได้ในช่วงระยะกลางของการปลูก เช่น กล้วย มะกล่ำ เพกา มะละกอ ฯลฯ
3. ไม้ล้มลุก (พืชผักสวนครัว) ผมปลูกไว้เพื่อเป็นเงินในระยะสั้น ได้แก่ ผักทุกขนิดที่กินได้ แมงลัก ตะไคร้ ขิง ข่า หอม ฯลฯ “
ทั้งหมดที่พ่อสำเริงเล่าบอก เป็นการจัดการความรู้ที่นำไปสู่การปฏิบัติจริง สร้างงานจริง และเกิดผลตามความเป็นจริง ซึ่งนำไปสู่การจัดการให้เกิดความพอเพียง สร้างเศรษฐกิจแห่งความพอเพียงให้กับตนเอง และครอบครัว เป็นการสร้างงานจากรากเหง้าของความรู้ เป็นการบูรณาการความรู้ต่าง ๆ เข้ามาผสมผสานกันไม่ว่าจะเป็น ความรู้ฝังลึก ความรู้ที่ชัดแจ้ง หรือแม้แต่ ความรู้จานด่วน ให้เกิดเป็นกิจการขึ้นมาได้ด้วยความภาคภูมิใจของผู้ปฏิบัตินั่นเอง
พี่น้อยค่ะ ทำทันทีของพ่อสำเริง สำร็จได้เพราะ
มีใจรักเป็นทุนสำรอง
มีความขยันตั้งใจจริงเป็นทุนการผลิต
มีผลผลิตเป็นกำไร
มีความสุขและเพื่อนพ้องเป็นเงินปันผล
ชีวิตของพ่อสำเริงจึงพอเพียงได้ ณ วันนี้
จริงหรือเปล่าค่ะ