ภาพ Meiji Jingu หรือ Meiji Shrine นั่นเอง ในช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนไปแล้วย่างเข้ีาปีใหม่ กับคนนับล้านในสายตาฉัน (จริง ๆ คงแค่ร่วมแสน) แต่เป็นคลื่นมนุษย์ที่ไหลไม่หยุดทั้งคืน
วันนี้เป็นวันแรกของปี แต่กว่าจะอัพโหลดบล็อกก็คงเข้าไปวันที่ ๒ แล้ว ปีนี้มารับทุนวิจัยอยู่ญี่ปุ่นเลยจำต้องกัดฟันฝ่าลมหนาวออกไปสัมผัสสภาพสังคมญี่ปุ่นแบบตัวต่อตัวจริง ๆ เสียหน่อย ตอนเที่ยงคืนวันที่ ๓๑ ธค. ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้ชื่อว่ารับทุนวิจัยสายสังคมศาสตร์
เพราะจริง ๆ แล้ว สาเหตุที่เขาให้ทุน ก็เพราะว่า เขาต้องการให้ได้มาอยู่ได้มาสัมผัสสังคมของเขาด้วยตนเองจริง ๆ นั่่นเอง เพราะการอ่านหนังสือมากสักเพียงใดก็ไม่เท่ากับการได้มาเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้สัมผัส ได้ลิ้มรส ได้อยู่อาศัย ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนและสังคมที่่นี่ี่จริง ๆ
สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ ทำนองนั้น
แต่สิ่งที่ได้เห็น และสิ่งที่ได้สัมผัส คือการเบียดเสียดกับผู้คน ไม่ว่าจะเป็นตอนเที่ยงคืนที่่ศาลเจ้าเมจิ หรือตอนบ่ายอีกวันที่วัดอาซะกุสะนั้น กลับทำให้รู้สึกเหมือนได้เข้าไปปฏิบัติธรรมอีกครั้ง นั่นคือ มีอะไรให้ได้กำหนดและปลงสังเวชไม่น้อย
เพราะไม่ว่าจะมองไปทางใดก็ได้เห็นแต่ความเสื่อมไปของพระพุทธศาสนา หรือการเข้าถึงการฝึกปรือทางจิตวิญญาณ ที่จะว่าไปแล้ว เคยเป็นจุดแข็งของญี่ปุ่นเมื่อหลายร้อยปีก่อน ดังที่เราเคยได้อ่านกันในเรื่องราวร้อยพันของพระเซนและซามูไรทั้งหลาย
การไปวัด หรือ ศาลเจ้าในคืนปีใหม่ ก็เป็นเพียง "พิธีกรรม" หรือ "พิธีการ" สั้น ๆ ที่ประกอบไปด้วยการทำทานแบบไม่ได้ประณีตอะไร คือ โยนเหรียญลงไปในกล่อง แล้วก็อธิษฐานอ้อนวอน แล้วก็อาจจะมีซื้อเครื่องรางของขลังไปคุ้มครองที่บ้าน เหมือนลงยันต์กันผี และเสี่ยงเซียมซี ทำนองนั้น จากนั้น ก็จะเป็นงานรื่นเริงของวัด ก็เหมือนงานวัดเราดี ๆ นี่เอง คือ มีอาหารสารพัด มีการออกร้านต่าง ๆ มีตู้ให้โยนลูกบาสลงห่วง และสารพัดเกมที่หน้าตาเหมือนกันทั่วโลก
แม้นแต่เมืองคามาคูระที่มี "หลวงพ่อโต" หรือ ไดบุทสุที่คุ้นตาชาวโลกนั้น ในแผ่นปลิวแนะนำวัด เขาบอกเพียงเป็นสิ่้งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรม และนักท่องเที่ยวก็ไปแค่ไปถ่ายรูปด้วยเท่านั้น อย่างเก่งก็ซื้อของที่ระลึกกลับบ้าน ซึ่ีงหนีไม่พ้นเครื่องราง ของขลังอยู่ดี
ความจริงเครื่องรางของขลัง นั้นถ้ามีการอธิบายที่มาที่ไปของการสวดมนต์ภาวนา ตอนที่่เขาทำให้มัน "ขลัง" นั้นหน่อยว่า การสวดมนต์นั้นมีอานิสงส์อย่างไรบ้าง ก็ยังดี
เช่น สวดแบบไม่รู้ความหมายเลยก็ยังได้ฝึกสมาธิสวดแบบรู้ความหมายก็อาจได้ศรัทธา เป็นกุศลทั้งคู่แล้วต่อให้ฝึกเจริญสติไปในระหว่างที่สวดคือรู้ัตามความเป็นจริงในการสวดออกเสียงก็ได้กุศลอีก เพราะสติเป็นเจตสิกฝ่ายกุศล อย่างนี้เป็นต้น
นอกจากนี้ ก็มีเรื่องผลของการสวดแผ่เมตตาลงไปในสิ่งต่าง ๆ ก็มีบทวิจัยยืนยันอยู่ ถ้ามีการให้ความรู้คนเช่นนี้ควบคู่กันไปบ้าง อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่า ยังอิงอรรถ อิงธรรม
แต่นี่่ ที่วัดหลวงพ่อโต ที่ีคามาคูระ ไม่มีทั้งปริยัติ และปฏิบัติ ไม่มีการสอนทำสมาธิ ไม่มีการสอนการเจริญสติ คงแต่มีภาพนักท่องเที่ยวไปถ่ายภาพกับ "สิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรม" ขนาดใหญ่เท่านั้น
แล้วจะไม่ให้ฉันสลดใจได้อย่างไร?
Daibutsu, Kamakura อีกหนึ่งในบทพิสูจน์ถึงความเสื่อมของพุทธศาสนาในญี่ปุ่น
แต่นั่นก็คือ ความเสื่อมไปเป็นธรรมดาของสรรพสิ่งไม่ใช่หรือ?
ในเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว จะสลดโศกเศร้าไปไยเล่า?
คงเป็นเพราะว่าฉันรู้สึกเหมือนนี่เหมือนเป็นการนั่่งไทม์ แมชชีน ล่วงหน้ามาประเทศไทยในอนาคตนั่นเอง และเป็นธรรมดา ฉันก็ย่อมอดห่วงบ้านเมืองตนเองไม่ได้
หลายเดือนที่มาอยู่ที่ญี่ปุ่นนี้ ทำให้ตระหนักว่า ที่พระพุทธองค์ทรงทำนายไว้ เรื่องความเสื่อมไปของพระพุทธศาสนานั้น เป็นเรื่องจริงอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ที่น่าตระหนกก็คือ ไม่นึกว่าจะเร็วขนาดนี้ หรือ ได้ทันเห็นในช่วงชีวิตนี้ คงได้แต่น้อมนำสิ่งที่เห็นเหล่านี้มาเตือนสติ และเร่งสร้างความเพียรต่อไป เพราะตนเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งแห่งตนได้
ทุกครั้งที่ฉันมองไปรอบข้างสิ่งต่าง ๆ แล้วฉันสรุปลงที่เรื่องความเสื่อมไปของสรรพสิ่ง ฉันก็มักจะนึกถึงประโยคนี้ของพระพุทธพจน์ ที่ี่อาจารย์
มักอัญเชิญมาเตือนสติพวกเราในคอร์สพัฒนาจิตเพื่อให้เกิดปัญญาและสันติสุขเสมอ
"...วันคืนล่วงไป ล่วงไป...เธอกำลังทำอะไรอยู่...."
ว่าแล้วก็ต้องเร่งเจริญสติต่อไป เพราะดูเหมือนฉันจะปล่อยให้เวลาล่วงไป ล่วงไป อยู่อย่างนี้.......มานานเกินพอแล้ว
ขอบคุณสำหรับสิ่งที่หนูเขียน
อาจารย์เข้ามาอ่านเป็นคนแรกและcomment เป็นคนแรก ให้กำลังเขียนบ่อยๆนะครับ
ชีวิตทางโลกย่อมเป็นอย่างนี้...จึงทำให้เกิดทางธรรมขึ้น
กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ ที่กรุณาแวะมาอ่านและมาคอมเม้นท์ให้เป็นคนแรกด้วย นับเป็นสิริมงคลกับบล็อกเล็ก ๆ ของหนูเป็นอย่างยิ่ง เหมือนได้รับการเจิมจากครูบาอาจารย์เลยล่ะค่ะ ทำให้หนูมีกำลังกาย กำลังใจที่จะพยายามเขียนต่อไป
ก็คงต้องอาศัยชะโงกดูสไตล์การเขียนของอาจารย์เป็นตัวอย่างอยู่บ่อย ๆ น่ะนะคะ เพราะเหมือนกับที่หนูไปฟังธรรมกับอาจารย์ที่เชียงใหม่น่ะค่ะ ถ้าไม่มีอาจารย์คอยชี้นำ ก็คงจะรุ่มร่าม รุงรัง พิลึก ยังมีอะไรต้องปรับ ต้องแก้ไข อีกมากมายเหลือเกินค่ะ
เอาเป็นว่า หนูจะพยายามเข้าไ่ปอ่านบล็อกอาจารย์และคอยอนุโมทนาและคอมเม้นท์เท่าที่มีปัญญาก็แล้วกันนะคะ วันนี้หนูเข้าไปที่หัวข้อชายชราและทะเลมาแล้วตามคำชวนของอาจารย์ค่ะ เขียนเสร็จแล้วหมดแรงเขียนบล็อกของตัวเอง แหะ ๆ
สวัสดีจากแดนไกลค่ะ
ณัชร