ในการประชุมวันที่ ๑๗ ดร. อังคณา เลขะกุลเอ่ยถึง World Happiness Report ผมจึงจดไว้กลับมาค้นที่บ้าน จึงทราบว่ารายงานนี้จัดทำทุกปีมา ๑๐ ปีแล้ว ประกาศออกมาราวๆ วันที่ ๒๐ มีนาคมของทุกปี เพราะองค์การสหประชาชาติกำหนดให้วันที่ ๒๐ มีนาคม เป็น World Happiness Day
ได้เรียนรู้ว่าแชมเปี้ยนของเรื่องนี้คือประเทศภูฏาน ที่นำเข้าที่ประชุมองค์การสหประชาชาติลงมติ เมื่อปี ๒๕๕๔ สนับสนุนนโยบาย “Happiness: Towards a holistic approach to development, inviting national governments to give more importance to happiness and well-being in determining how to achieve and measure social and economic development.”
หลังจากนั้น ๑ ปี World Happiness Report ก็เริ่มขึ้น ด้วยความร่วมมือของหลายฝ่าย มีการลงทุนลงแรงมากทีเดียว ทำให้ได้รับรางวัล Betterment of the Human Conditions Award ถึงสองครั้ง
ในรายงานปี ๒๕๖๕ เขาบอกว่าแนวโน้มระยะยาวของโลกคือ ความเครียด ความกังวล และความเศร้า เพิ่มขึ้น และความพึงพอใจในชีวิตลดลงเล็กน้อย ประเทศที่วิกฤตในเรื่องความสุขรุนแรงที่สุด ๓ ประเทศคือ เวเนซูเอลา อัฟกานิสถาน และเลบานอน ประเทศที่ดีขึ้นมากอยู่แถบคาบสมุทรบอลข่าน คือ โรมาเนีย บัลกาเรีย และเซอร์เบีย ผมคิดว่าหากเก็บข้อมูลในตอนนี้ ประเทศยูเครนน่าจะวิกฤตที่สุด
เขาบอกว่า ในยุคโควิดระบาด มีข้อดีคือ ความเมตตากรุณา (benevolence) ระหว่างกันของมนุษย์เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่มีคุณสมบัติของความมีน้ำใจ (๑) อยู่ในเบื้องลึก แต่ก็มีโทษสมบัติด้านอื่นๆ มาบดบัง ยามต้องเผชิญภัยร่วมกัน ความมีน้ำใจก็จะแสดงออกเด่นชัดขึ้น ข้อค้นพบนี้จึงไม่แปลก
ผมชอบคำว่า the science of happinessที่เมื่อค้นในกูเกิ้ล พบเว็บไซต์มากมาย ที่ผมชอบอยู่ที่ (๒) จะเห็นว่ามันเชื่อมกับจิตวิทยาเชิงบวก (positive psychology) แต่ผมก็เถียงว่า ความสุขเป็นเรื่องของความรู้สึก และหนังสือ The Broken Ladder บอกว่า ความรู้สึกพึงพอใจหรือมีความสุขของคนเราขึ้นกับการเปรียบเทียบ (๓) ไม่ใช่ขึ้นกับสภาพที่ตนเผชิญเพียงอย่างเดียว คือมนุษย์เรามีความซับซ้อนมาก
ผมจึงมีหลักการสำคัญในการมีชีวิตที่มีความสุขว่า อย่าเน้นเปรียบเทียบกับคนอื่น ให้เน้นที่ความพึงพอใจของตนเอง และให้ฝึกตนเองให้เป็นคนมักน้อย หรือสมถะ ซึ่งก็เข้าหลักพุทธศาสนา
จะเห็นว่าความซับซ้อนของมนุษย์ทำให้เราต้องมีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว สู่ชีวิตที่มีความสุข
กลับมาที่รายงานความสุขโลก บทสรุป (๔) บอกเราว่า ปัจจัยสู่ความสุขมีทั้งปัจจัยทางพันธุกรรม (มีผลร้อยละ ๓๐ - ๔๐) กับปัจจัยจากสภาพแวดล้อม (ร้อยละ ๖๐ - ๗๐) เขาไม่ได้เน้นปัจจัยจากการฝึกฝน ที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่เราควรเอาใจใส่ฝึกฝนตนเอง และฝึกฝนเด็กและเยาวชนของเรา ... ฝึกให้เป็นคนสุขง่าย ทุกข์ยาก ผมหมั่นฝึกตนเองมาตลอดชีวิต และพบว่าให้ประโยชน์ต่อชีวิตที่ดีของตนเองมาก
อ่านแล้วผมสรุปว่า ความสุขมี ๒ แนว คือแนวตื่นเต้นเร้าใจ กับแนวสงบสุข เขาสรุปว่าคนส่วนใหญ่ในทุกส่วนของโลกต้องการความสงบสุข ซึ่งในความเห็นส่วนตัวผมเถียง
ผมคิดว่าคนเราต้องการความสุขทั้งสองแนว ในสัดส่วนที่พอดีสำหรับแต่ละคน ที่ไม่เท่ากัน ผมคิดว่า คนเราไม่มีความสุขเมื่อสัดส่วนนี้ถูกเบี่ยงเบน ซึ่งปัจจัยเบี่ยงเบนมาจากทั้งภายนอกและภายในตน ปัจจัยภายนอกนั้นเราควบคุมได้ยาก แต่แปลกที่ในคนจำนวนมาก ปัจจัยภายในควบคุมยากกว่า เพราะมันอยู่ใต้จิตสำนึก
อีก ๒ เดือน ผมจะเขียนเรื่องนี้ต่อ
วิจารณ์ พานิช
๒๘ มิ.ย. ๖๕