GotoKnow

เล่าเรื่องเพื่อพัฒนาความสร้างสรรค์

Prof. Vicharn Panich
เขียนเมื่อ 19 เมษายน 2565 17:19 น. ()

 

มีการเสนอทฤษฎีหรือแนวทางใหม่ของการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสร้างสรรค์ ตามข่าว (๑)  (๒)    เรียกว่า narrative theory   โดยมีผลงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Annals of the New York Academy of Sciences เรื่อง A new method for training creativity : narrative as an alternative to divergent thinking  ตีพิมพ์เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๕ นี่เอง 

เทคนิคพัฒนาความสร้างสรรค์ที่ใช้มาเกือบ ๗๐ ปี เรียกว่าเทคนิค divergent thinking    หรือวิธีคิดแหวกแนว    บัดนี้พบว่าวิธีนี้มีจุดอ่อนในการฝึกให้แก่เด็กหรือเยาวชน    เพราะวิธีนี้ใช้กลไกของความจำ (memory)  และการเชื่อมโยงเหตุผล (reasoning association)   ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กอ่อนแอกว่าผู้ใหญ่    วิธีการฝึกความสร้างสรรค์ภายใต้แนวทาง divergent thinking ได้แก่  combinatorial play, associational fluency, analogical reasoning, multiuse sets, design schooling, brainstorming,  และ innovation forecasting ซึ่งใช้ได้ดีในผู้ใหญ่    จึงไม่เหมาะนักสำหรับเด็ก 

จึงมีการวิจัยหาแนวทางใหม่สำหรับพัฒนาความสร้างสรรค์แก่เด็ก    และพบว่ากลไก narrative cognition ซึ่งเป็นการคิดในการปฏิบัติ เห็นต้นทาง และผลที่เกิดขึ้น  นำสู่การพัฒนาความสร้างสรรค์   

เท่ากับทีมวิจัยเสนอแนวทางพัฒนาความสร้างสรรค์แบบ narrative approach   ขึ้นมาตีคู่กับแนวเดิมคือ computational approach ที่เน้น divergent thinking  ตามด้วย convergent thinking    

อ่านแล้วผมตีความว่า narrative approach ของความสร้างสรรค์คือ กล้าคิดแนวใหม่ (โดยไม่แคร์ความสมเหตุสมผล - logical) ลอง และตรวจสอบผล    และหากเกิดผลดีต่อการใช้งานก็กลายเป็น นวัตกรรม (innovation)    ความสร้างสรรค์กับการสร้างนวัตกรรมต่างกันตรงผลการเอาไปใช้งานได้จริง   กิจกรรมสร้างสรรค์อาจนำสู่นวัตกรรมหรือไม่ก็ได้    เท่ากับ narrative approach ช่วยให้ก้าวข้ามข้อจำกัดที่จะต้องเป็นความคิดที่สมเหตุสมผล (logical)

ทฤษฎี narrative creativity บอกว่า สมองมนุษย์นอกจากคิดเป็นเหตุผล  แล้วยังมีการคิดออกมาเป็นการกระทำ   และเมื่อคิดและทำต่อเนื่องก็กลายเป็นเรื่องเล่า (narrative)    การสร้างสรรค์แนวนี้จึงเป็นการคิดแล้วทำทันที แล้วใคร่ครวญสะท้อนคิดตามด้วยการทำ ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่   

หากจะให้สรุปความแตกต่างระหว่างความสร้างสรรค์สองแบบ ให้เข้าใจได้ง่ายๆ    แบบ divergent thinking เป็นการคิดแล้วคิดแล้วคิด...    หาความคิดที่ต่างออกไปเรื่อยๆ    แต่แบบ narrative creativity เป็นการคิดแล้วทำและคิดแล้วทำเป็นลูกโซ่ต่อเนื่อง    ใช้พลังของการกระทำก่อความสร้างสรรค์ 

เขาบอกว่า narrative theory ก่อตัวขึ้นโดย อริสโตเติล ๓๓๕ ปี ก่อนคริสตศักราช   และมีการพัฒนาเรื่อยมา    ในรายงานนี้เขาทำการทดลองในทหาร, ผู้บริหารองค์กร, และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาด้านศิลปะ และผู้ประกอบการ   โดยใช้ ๓ เทคนิคคือ (๑) สร้างโลก (world building)  (๒) เปลี่ยนโลกทัศน์ (perspective shift)  (๓) สร้างการลงมือทำ (action generation)     แต่ละเทคนิคมีรายละเอียดมาก ที่ผมจะไม่เล่า    

ที่จริงการวิจัยเรื่องการพัฒนาความสร้างสรรค์ด้วย เป็นงานวิจัยที่ทำกันอย่างคับคั่ง  เช่นผลงานวิจัยจากอินเดีย  Using Narratives in Creativity Research : Handling the Subjective Nature of Creative Process    ตีพิมพ์เมื่อ ๕ ปีที่แล้ว     

แต่บทความเรื่อง A new method for training creativity : narrative as an alternative to divergent thinking ให้รายละเอียดมาก     เขาระบุเหตุผลประกอบหลักฐานถึง ๑๗ ข้อ    ว่าทำไมแนวทาง narrative approach  จึงช่วยอุดช่องโหว่ของ  creativity research ที่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน   หรือกล่าวใหม่ว่า การวิจัยเรื่องวิธีพัฒนาความสร้างสรรค์ จะเฟื่องฟูยิ่งขึ้น เมื่อใช้แนวทางเล่าเรื่องเข้ามาช่วยอีกแรงหนึ่ง เสริมหรือคู่ขนานกับแนวทางคิดแหวกแนว 

ขอบคุณ อ. ดร. นพ. บดินทร์ ทรัพย์สมบูรณ์ ที่แนะนำรายงานวิจัยชิ้นนี้ 

วิจารณ์ พานิช

๒๔ มี.ค. ๖๕

 

สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการ

ความเห็น

Suree Nakniyom
เขียนเมื่อ

น่าสนใจมากค่ะ


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย