วันนี้ผมได้มาเยี่ยมที่แปลงนา และมาดูวัวที่เลี้ยง ว่าเขาเลี้ยงและดูแลดีไหม
ผมก็พบว่า ในนามีการเผาฟางกันมาก และชาวบ้านบอกว่า ที่ต้องเผาเพราะจะได้ไถนาได้สะดวก แต่การไถเป็นระบบการจัดการสิ่งที่ทำลายระบบของดินและที่ดิน ระบบการหมุนเวียนอาหาร ระบบของอินทรียวัตถุที่จะหมุนเวียนคืนไปในพื้นดิน
แต่ชาวบ้านก็จำเป็นต้องทำเพราะมีความรู้อยู่แค่นั้น เพราะถ้าไม่เผาก็จะทำให้เกิดการไถยาก หรือไม่ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายไถมากขึ้น
ซึ่งเป็นความรู้ที่ถูกแต่เป็นความรู้ที่มีพิษ
พิษต่ออะไรครับ
พิษต่อระบบนิเวศ พิษต่อระบบความยั่งยืน พิษต่อระบบทรัพยากรของเขาเอง ซึ่งในที่สุดเขาจะต้องลงทุนมากมาย เพื่อจะกลับไปดูแลระบบที่ถูกทำลายนี้ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น
ลักษณะความรู้ที่เป็นพิษนี้ ไม่ใช่ว่าไม่มีการจัดการนะครับ เขาก็มีการจัดการ คิดหาข้อมูล วางแผนล่วงหน้าเป็นอย่างดีในทุกเรื่องทุกราว
สิ่งเหล่านี้มันสะท้อนให้เห็นว่า การจัดการความรู้นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องดีเสมอไป
อาจจะเกิดการจัดการความรู้ที่เป็นพิษ ในระบบการดำรงชีวิตและการทำมาหากินก็เป็นได้ครับ
หลาย ๆ อย่างที่ผ่านมา เราใช้ความรู้ที่เป็นพิษกันมากมาย ตลอดเวลา
เอาเรื่องที่ฮือฮากันมากที่สุด ที่ผ่านมา 3 หรือ 4 เดือนที่ผ่านมาก็ได้ครับ
เรื่องการเมือง คอรัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวง ทุจริตเชิงนโยบาย อะไรทำนองนี้ หรือแม้กระทั่งการปล้นธนาคารใหญ่ ที่ดังไปทั่วโลก
เรื่องต่างๆ เหล่านี้ ก็ต้องใช้ความรู้ และการจัดการอย่างมากมาย โดยไม่ต้องใช้คัมภีร์ปลาทูแห้งหมื่นปีซะด้วย กว่าจะทำงานจนเสร็จได้ขนาดนั้น
แต่ความรู้เหล่านั้น ทำไมเราไม่ต้องการ สาเหตุที่เราไม่ต้องการเพราะว่าเป็นความรู้ที่เป็นพิษ
เป็นพิษกับใครครับ
บางทีก็เป็นพิษกับตนเอง บางทีก็ไม่ใช่
บางทีก็เป็นแค่เป็นพากับผู้อื่นแต่เราได้ประโยชน์ เช่นกรณีของการทำการเกษตรที่ใช้ระบบการเผาทำลายนั้น จะดูเหมือนว่า ตัวเองได้ประโยชน์
แต่แท้ที่จริงแล้ว ตัวเองก็เสียประโยชน์ในระยะยาว ทรัพยากรก็เสีย สิ่งแวดล้อมก็เสีย
อาจจะมีคนได้ประโยชน์อีกมุมหนึ่งก็คือพวกขายวัสดุทางการเกษตรที่มาทดแทนระบบนิเวศน์ที่ถูกทำลายไป
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือว่า ความรู้ที่เป็นพิษนี้ อาจจะเป็นพิษกับบางระบบ หรืออาจจะเป็นประโยชน์กับบางระบบ แต่ถ้ามองโดยรวมแล้ว เป็นพิษกับหลายระบบด้วยกันเช่น
กรณีของการฉ้อราษฎร์บางหลวง ทุกคนก็ทราบดีว่า คนที่ได้ประโยชน์อย่างน้อยก็ระยะสั้นนะครับ ก็คือคนที่ทำ คนที่เสียประโยชน์ ก็คือ ประเทศชาติโดยรวมทุกเรื่อง ทั้งสังคมก็เสื่อม หลาย ๆ อย่างนะครับ
แต่แท้ที่จริงแล้ว ทุกคนที่ว่าได้ประโยชน์ ก็อาจเสียประโยชน์ในระยะยาว คือ เสียศักดิ์ศรี แม้แต่จะซ่อนเร้นขนาดไหนก็มีคนแอบเห็นแอบรู้จนได้
เพราะฉะนั้น ความรู้ที่เป็นพิษนี้ จึงเป็นความรู้ที่น่ากลัว ดูเหมือนจะได้ประโยชน์
แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นโทษมากมาย
เพราะฉะนั้น ในฐานะนักวิชาการ เราจะทำอย่างไร ที่จะพิจารณาว่าความรู้ใดเป็นพิษ ที่ควรจะหลีกเลี่ยง ความรู้ใดที่เป็นประโยชน์ ที่ควรจะขยาย
เพราะฉะนั้น เราก็ต้องมานั่งจัดการความรู้แบบความรู้ใดที่เป็นพิษ ความรู้ใดที่ไม่เป็นพิษ
แต่ถ้ามองขึ้นไปในระดับจิตใจและจิตวิญญาณที่สูงอีกนิดหนึ่ง ก็จะพิจารณาได้ว่า ความรู้ที่เป็นพิษนั้น จะมองเห็นได้โดยง่าย
และคนที่วางใจเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด มีใจมีความคิดที่เป็นธรรมชาติ ก็จะรู้ว่าความรู้ใดที่เป็นพิษ และไม่เป็นพิษ
แล้วเราจะได้ความรู้ที่ไม่เป็นพิษเท่านั้นที่มาจัดการ
ส่วนความรู้ที่เป็นพิษก็ไม่ต้องนำมาจัดการ ปล่อยไป
หรือใครอยากจะจัดการใช้ความรู้ที่เป็นพิษชั่วคราว เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
ผมจึงขอย้ำว่า ความรู้ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องเป็นประโยชน์เสมอไปนะครับ
มีความรู้ที่เป็นพิษมีมากมาย ทำลายตัวเอง ทำลายสังคม ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง
เพราะฉะนั้น ต้องระมัดระวังนิดหนึ่งนะครับ
ขอให้ปลอดจากความรู้ที่เป็นพิษ ตลอดปีใหม่นี้นะครับ
ขอบคุณมากครับ
คุณขจิต
ผมเจอพวกดื้อตาใสมากเหลือเกิน จนไม่ทราบจะตอบอย่างไร
บางทีเขาทราบแต่ไม่เชื่อ
เชื่อแต่ไม่ทำ
ทำแต่ไม่จริง
ความรู้เป็นพิษ
ยังอันตรายน้อยกว่า ความคิดเป็นพิษ