ชีวิตที่พอเพียง : 181. เดินทางไปเจนีวา


        วันที่ ๒๔ พย. ผมเดินทางกลับจากหาดใหญ่     กว่าจะกลับถึงบ้านก็สองทุ่มกว่า     วันเสาร์ที่ ๒๕ ต้องเข้าสำนักงาน สคส. เพราะมีงานเกี่ยวกับการจัดมหกรรมจัดการความรู้แห่งชาติ ครั้งที่ ๓ ให้เข้าไปร่วมตัดสินใจกับคุณแอนน์     ภรรยาอ่านหนังสือมติชนสุดสัปดาห์หน้าดูดวง และหัวเราะว่าดูดวงผมแม่นมาก คือมีปัจจัยเกี่ยวกับการเดินทางตั้ง ๔ ปัจจัย    ทำให้ผมมีภาระต้องเดินทางมากมายในช่วงนี้     ภรรยาเขาชอบอ่านคอลัมน์นี้ แต่ผมไม่เคยอ่านเลย และไม่เชื่อ

        ตอนค่ำวันที่ ๒๕ พย. ลูกสาวผู้ดำเนินการมูลนิธิพูนพลัง กับภรรยา ขับรถไปส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเดินทางไปเจนีวา โดยสายการบินไทย     เพื่อไปประชุมคณะกรรมการจัดประชุมนานาชาติ Prince Mahidol Conference 2007 เรื่อง Improving Access to Essential Health Technologies: Focusing on Neglected Diseases, Reaching Neglected Populations, 1-2 February 2007 Bangkok, Thailand     เหตุที่ต้องไปประชุมที่เจนีวา ก็เพราะการประชุมคณะกรรมการ Organizing Committee ครั้งแรกจัดที่กรุงเทพ     โดยมีผู้แทน WHO และองค์กรอื่นที่ร่วมเป็นเจ้าภาพมาประชุมที่กรุงเทพฯ  เราตกลงกันว่าการประชุม Organizing Committee ครั้งที่ ๒ ฝ่ายไทยจะเป็นฝ่ายเดินทางบ้าง

       การประชุมนานาชาตินี้ใช้งบประมาณที่ตั้งโดยกระทรวงสาธารณสุข     ดังนั้นทางกระทรวงฯ จึงเป็นผู้จัดซื้อตั๋วเครื่องบินให้     คนที่ไปประชุมจากเมืองไทยมี ๙ คน    คุณหมอโสภิดาแห่งกระทรวงสาธารณสุข เดินทางโดย TG 920 ผ่าน Frankfurt แล้วต่อสายการบินลุฟฮันซ่าไป เจนีวา     เขาจัดให้ผมไปเที่ยว TG 970 ผ่าน Zurich แล้วต่อสายการบิน สวิสแอร์ ไปเจนีวา   

        ผมไป check - in ที่เคาน์เตอร์ Royal Silk สำหรับตั๋วชั้นธุรกิจที่เขาจัดให้      โดยขอที่นั่งริมทางเดินและด้านหน้า      เจ้าหน้าที่พูดโทรศัพท์กับใครก็ไม่ทราบอยู่นาน แล้วก็บอกผมว่าจะ upgrade ให้ผมไปนั่งชั้นหนึ่ง     เธอบอกว่าทาง ดีดี แจ้งขอ upgade ไว้ ๒ ที่ คือ อ.หมอสุพัฒน์ กับผม     แต่มีที่นั่งว่างให้ upgrade ที่เดียว จึงต้องตัดสินใจว่าจะให้ใครใน ๒ คนนี้     เขาดูแล้วศักดิ์ศรีสำหรับการบินไทยเท่ากัน คือซื้อตั๋วชนิดเดียวกัน     มีบัตรทองเหมือนกัน     ต่างกันตรงผมมา check - in ก่อน จึงยกให้ผม    ผมขอบคุณและบอกเธอว่าผมมีศักดิ์ศรีสูงกว่าอีกอย่างหนึ่งคือแก่กว่า     เธอหัวเราะชอบใจ     สรุปว่าผมโชคดีได้นั่งเครื่องบินชั้น ๑   

        แต่เขาให้บัตรเชิญไปใช้ Royal Silk Lounge ตามตั๋วที่ซื้อ     ไม่ได้ให้ใช้ Royal First Class Lounge ตามตั๋วที่ upgrade ให้  lounge นี้ใหญ่มาก ใหญ่กว่าที่ดอนเมืองหลายเท่า     ผมโชคดีมากอ่านมติชนรายวันพบบทความของลูกชาย เรื่อง "เลิกถือพุทธสู่วิถีพุทธ"      อยู่ในหน้ากระแสทรรศน์    ในคอลัมน์ จิตวิวัฒน์    มีตอนเด็ดคือ "เป็นความจริงที่ว่าปัญญาจะนำมาซึ่งความรู้   แต่หากความรู้นั้นถูกตัดขาดจากกระบวนการเรียนรู้จนกลายเป็นความรู้ที่ไม่มีชีวิต   สิ่งที่ถูกถ่ายทอดออกมาก็หาใช่พลังแห่งปัญญา   คงเป็นได้เพียงแค่ 'อหังการ์ของผู้รู้' เพียงเท่านั้น"

       บทความของลูกชายนำผมให้ค้นเว็บไซต์ของโครงการจิตวิวัฒน์  www.jitwiwat.org และไปพบบทความดีๆ มากมาย จึงนำมาแนะนำไว้    

       คณะกรรมการจัดประชุมนี้ มี secretariat เป็นฝ่ายไทยทั้งหมด    ทำงานเก่งมาก     ตัวคนหลักอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล กับกระทรวงสาธารณสุข     เราหวังว่าการทำงานนี้จะเป็นการฝึกนักวิชาการไทยไว้ทำงานจัดประชุมวิชาการด้านนโยบายสาธารณสุขระดับโลก      เท่ากับว่ามูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลไม่ใช่แค่เพียงให้รางวัลแก่ผู้มีผลงานเป็นผลดีต่อมนุษยชาติเท่านั้น     แต่ยังช่วยเป็นกลไกลร้างความเข้มแข็งทางวิชาการให้แก่ปะเทศไทยผ่านคณะทำงานต่างๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะทำงานจัดประชุมวิชาการนานาชาติ     และคณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิชาการ 

       คณะที่เดินทางโดย TG 970 ด้วยกันมี ๔ คน คืออธิบดีกรมสารนิเทศ กิตติ วสีนนท์, ศ. นพ. สุพัฒน์ วานิชย์การ เลขาธิการมูลนิธิฯ, ศ. นพ. ปิยะสกล สกลสัตยาทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราช และรองประธานมูลนิธิฯ, และผม
 
     ชั้น ๑ มีเพียง ๘ ที่นั่ง สะดวกสบายกว่าที่ผมเคยนั่งเมื่อหลายปีที่แล้วมาก    ตัวเก้าอี้หรือเตียงทันสมัยมากขึ้น   ที่ผมชอบมากคือลุกเข้าห้องน้ำง่าย    มีไฟอ่านหนังสือหัวเตียงที่เล็กแต่สว่างดีมาก 

     ทีมเราคนที่ได้นั่งชั้น ๑ มี ๒ คน คือท่านอธิบดีกิตติ วสีนนท์ กับผม    พอนั่งปุ๊บเขาก็มารับเสื้อนอกไปแขวน   และเอาแชมเปญมาแจก

     เขามีชุดนอนแจก    เขาคงพยายามทำให้ผู้โดยสารรู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้าน   แต่คงจะไม่สำเร็จ เพราะเขาบริการแบบพิเศษเหลือเกิน   โต๊ะวางอาหารเมื่อดึงออกมาจากที่ซ่อนมันใหญ่โตมโหฬารขนาด 80 x 80 ซม. เห็นจะได้    เขามีอาหารให้เลือกหลายอย่าง ผมเลือกเนื้อแกะ กินกับไวน์แดงชั้นดี อร่อยมาก   

     ออร์เดิฟมี ๒ ชุดตามกันมา   ชุกแรกเป็นไข่คาเวียร์ สำหรับแสดงว่านี่คืออาหารชั้นยอด มากับไข่แดง ไข่ขาว และหอมซอยละเอียด    แต่ที่ทำให้อร่อยคือกินกับเหล้าว้อดก้าชนิดที่หอมมาก

     อีกอย่างหนึ่งที่ผมติดใจ คือเนยแข็งที่เขาเสิร์ฟพร้อมผลไม้     ผมชอบกินเนยแข็งแต่ไม่เคยกินเนยแข็งที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน

     ชีวิตบนเครื่องบินชั้น ๑ นี้มันเลยความพอเพียงไปมาก    ตอนนั่งรถมาที่สนามบิน คุยกันเรื่องนั่งเครื่องบินชั้นธุรกิจ    ลูกสาวบอกว่าเขาตัวเล็ก นั่งที่นั่งชั้นธุรกิจไม่สบาย    พ่อตัวโตเหมาะกับที่นั่งชั้นธุรกิจ     ลูกสาวเขาไม่สนใจบริการแบบหรูหราฟุ่มเฟือยบนชั้นธุรกิจ 

     กินอาหารเสร็จก็นอน    เตียงสมัยใหม่นี้ปรับจนนอนราบสบายมาก   และความยาวก็เหลือเฟือสำหรับคนตัวสูง ๑๗๒ ซม. อย่างผม

    แต่ฝรั่งตัวสูงและโตมากๆ ยังต้องนอนขด

     เวลาบินทั้งหมดเกือบ ๑๒ ชม.   ผมนอนได้ ๒ ยก รวมประมาณ ๖ - ๗ ชม.    พอผมตื่นขึ้นมาบันทึกโดยใช้ pocket PC พนักงานก็มาเสนอว่าจะรับชาญี่ปุ่นหรือกาแฟ    ผมขอกาแฟดำตามที่ผมชอบ    คือไม่เติมน้ำตาล ไม่เติมนม

    ผมเตือนตัวเองว่า ประสบการณ์ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยมีไว้สำหรับเรียนรู้ ไม่ได้มีไว้ติด    การได้เรียนรู้ว่าเศรษฐีเขาอยู่กันอย่างไรเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ ทำให้เราไม่แคบ   และมีประโยชน์ต่อการสอนใจตนเองให้มองสิ่งเหล่านั้นอย่างเหมาะสม   ผมฝึกมองด้วยการวางเฉย  เข้าใจ   ไม่ยึดติด และไม่รังเกียจเขา   


     กาแฟอร่อยมาก  รสกลมกล่อม ไม่ขมจัดเกิน และหอม    เขาถามว่าจะรับช็อกโกเลตไหม    แล้วเอามาให้หนึ่งกล่อง สองชิ้น  เป็นช็อกโกเลต ที่อร่อยมาก  คือไม่หวานจัด  รสกลมกล่อม  และหอมกลิ่นดอกไม้    กินแล้วสดชื่นทั้งชิวหาและนาสิก    ลงท้ายผมดื่มกาแฟ ๒ ถ้วย  ช็อกโกเลต ๒ กล่อง   ก่อนถึงเวลาอาหารเช้า


     ผมใช้เวลาที่มีความสะดวกสบายทางกายภาพนี้อยู่กับตัวเองให้มากที่สุด    ไม่เปิดทีวีดู  ไม่แตะต้องหูฟัง    ผมรับเรื่องราวภายนอกเฉพาะจากหนังสือ "Presence : Exploring Profound Change in People, Organzation, and Society"    ผมสังเกตว่าโดยวิธีนี้ผมอ่านและเรียนรู้จากหนังสือได้ลึกกว่าในสภาพ "จิตวุ่น" ตามปกติของชีวิต   

    ผมเลือกกินอาหารเช้าแบบไทย คือข้าวต้มกับ    มีกับข้าวถึง ๕ อย่าง   กินไม่หมดจนผมต้อง "โยนผ้า" ยอมแพ้    หมายความว่าเอาผ้ากันเปื้อนและเช็ดปากขึ้นวางบนโต๊ะเป์นสัญญาณว่าอิ่มแล้ว    ฟันปลอมของผมก็ส่งสัญญาณด้วย    คือแตกและหลุดออกมาหนึ่งซี่    แต่เป็นฟันปลอมชั่วคราว ที่แตกอยู่บ่อยๆจนหมอฟันประจำตัว คือ ผศ. ทญ. วิภาดา เลิศฤทธิ์ กับ อ. หมอกิตติโชติ บุญศรี แห่งคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล หัวเราะเป็นประจำ    และพูดว่า "แรงบดเคี้ยวมหาศาล"      คราวนี้ต้นเหตุคือปลาหวาน ที่ต้องออกแรงเคี้ยวมากไปหน่อย ฟันปลอมชั่วคราวจึงยอมแพ้ไปหนึ่งซี่

    ที่จริงก่อนจะถึงข้าวต้ม เขาเสิร์ฟขนมปัง เนย แยม ผลไม้ และโยเกิร์ต ก่อน    อาหารเช้าบนเครื่องบินคืออาหารเที่ยงตามการรับรู้ของร่างกาย    ผมได้สัมผัสกับอาหารรสชาติสูงทุกอย่าง    ทั้งเนย ขนมปัง  แยม และอื่นๆ    เขามีแยมมาใหลือกมากมาย    ผมอยากลองแยม บลูเบอรี่ เจ้าหน้าที่ว่ามี ราสเบอรี่   ผมหยิบแบบเดาสุ่มว่าหน้าตาน่าจะเป็น blueberry แล้วก็ถูกจริงๆ    ได้ความหอมชื่นใจของ บลูเบอรี่    แยมที่คุณภาพสูงจะไม่หวานจัด  มีรสและกลิ่นผลไม้ชัดเจน 

     ผมติดใจกาแฟที่เขาเสิร์ฟมาก  เขามาเติมทีไรผมเอาทุกที   เช้านี้ดื่มไป ๔ ถ้วย    ผมเป็นคนไม่ติดกาแฟ และไม่แพ้กาแฟ    คือดื่มกาแฟก่อนนอนได้  หลับสบาย  

     เครื่องบินถึง ซูริค ๗ น. ตรง   มีเจ้าหน้าที่ของการบินไทยมารับพาไปที่ Swiss Lounges และให้เจ้าหน้าที่หน้า lounge ทำ boarding pass ให้ผม   ส่วนคนอื่นอีก ๓ คนมีแล้ว     เขาขอ check through มาจากกรุงเทพ   มีผมคนเดียวที่ลืมขอ

    ก่อนจะไปที่ Swiss Lounges มีเจ้าหน้าที่เยอรมันมาแจกถุงพลาสติกเล็กๆ ให้ใส่ liquid & paste ที่จะเอาขึ้นเครื่อง   โดยเขาให้เอาขึ้นได้คนละถุงเดียว 

    นั่งที่ lounge สักครึ่งชั่วโมงก็เบื่อ    ชวนกันออกมาเดินดูของ    อ. หมอสุพัฒน ์มีโพยให้มาซื้อช็อกโกเลต    และคนอื่นๆ ก็ดูจะเป็นนักช็อป    อธิบดีกิตติมีพาสปอร์ตทูตสีแดง ซื้อของลดราคาได้ ๒๐ - ๓๐%

     เราดูสนามบินซูริคแล้ววิพากษ์วิจารณ์เปรียบเทียบกับสุวรรณภูมิ   ว่าของเขาดูก่อสร้างประณีตกว่ามาก   และร้านขายของก็ดูไม่มีบุคลิกแบบเอามาขวางทางเดินแบบของเรา   และเขาก็มีที่นั่งรอมากกว่า  

     security check เคร่งครัดน้องๆ ในสหรัฐอเมริกา    ต้องเอาเข็มขัดออก  รองเท้ามีส้นสูงต้องถอด    lap top ต้องเอาวางในถาดกับเสื้อโค้ต   ผมสวมรองเท้าผ้าใบแบบใช้วิ่ง ไม่ต้องถอด

     เครื่องบินสวิสแอร์ ซูริค - เจนีวา เป็นเครื่อง A320 ลำเล็ก ขนาด Boeing 737 ที่เราคุ้นเคย     ผมหยิบแมกกาซีนภาษาอังกฤษ Business Guide  มาอ่าน ได้ความรู้ว่าระบบธนาคารของ สวิส มีเงินฝากถุง 4.4 ล้านล้านสวิสฟรังก์ (CHF)   คิดเป็น10 เท่าของ GDP ของสวิตเซอร์แลนด์    ในนิตยสารเอ่ยถึงคำ wealth management บ่อยมาก    เขาไม่ใช้คำ investment management  

     เครื่องบินใช้เวลาเพียง ๓๐ นาทีก็ถึงเจนีวา     เจ้าหน้าที่ของสถานทูตเอารถตู้คันใหม่เอี่ยมมารับ     รอกระเป๋านานหน่อย     ไปพักที่โรงแรม Kipling, 27 rue de la Navigation, [email protected]  ระดับ ๓ ดาว     ห้องพักดีกว่าทุกโรงแรมในเจนีวาที่ผมเคยพัก    คนอื่นเขานัดกันไปเที่ยวเมืองเก่า     หมอปิยะสกล กับผม ขอตัว    รอไปรับเลี้ยงอาหารเย็นของท่านทูตตอน ๑๙.๑๕ น. เลยทีเดียว

วิจารณ์ พานิช
๒๖ พย. ๔๙
เจนีวา  

หมายเลขบันทึก: 69746เขียนเมื่อ 27 ธันวาคม 2006 18:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 เมษายน 2012 20:24 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

อาจารย์น่าจะแข่งกับหม่อมถนัดศรีได้นะขอรับ

ฟังอาจารย์เล่าแล้วกระตุ้นให้ผมชักจะไม่พอเพียงทีเดียว   เลบทราบว่ายังต้องเตือนตัวเองอีกมาก

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท