อยู่ที่งาน OTOP City มีหลายท่านเข้ามาลปรร. ที่บูธ C-29 และการได้ไปเดินดูตามบูธต่างๆ ทำให้เห็นและเกิดความคิดต่าง ซึ่งอาจจะผิดหรือถูกขอท่านผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณ
- ได้ข่าวมาว่า งาน OTOP City ใช้เงินจัดงานประมาณ ๒๐ ล้านบาท จัดงาน Hall 1-8 และอาคาร Challenger 1-3 มี บูธ เข้าร่วมงานทั้งหมด ประมาณ 3,000 บูธ เข้าใจว่าคงมี OTOP ที่ได้รับการคัดสรรมาครบทุกจังหวัด
- อยาง Challenger 1-3 เป็นบูธเกี่ยวกับอาหาร เสื้อผ้า และเครื่องประดับ เรียงชื่อตามตัวอักษรนำของจังหวัด และตามภาค
- ของบางอย่างก็ขายดี บางอย่างขายไม่ดี
- วิเคราะห์ของที่ขายไม่ดี มีเหตุผลดังนี้ (๑) คนมาชมงานน้อย (ที่ Challenger คนมาเดินน้อยกว่า Hall (๒) สินค้าอย่างเดียวกันได้รับ OTOP หลายจังหวัด เช่น น้ำผึ้งมีหลายจังหวัดมาก เชียงใหม่, ลำพูน,ลำปาง,อุตรดิตถ์,พิษณุโลก,สุโยทัย,อุทัยธานี,ลพบุรี,สระบุรี,เลย ฯลฯ รวมแล้วคงไม่ต่ำกว่า ๒๐ บูธ เป็นแน่ แถมจังหวัดเดียวกันยังมาหลายร้าน ราคาน้ำผึ้งส่วนใหญ่ตั้งราคาอยู่ที่ ๑๒๐-๑๘๐ บาท ต่อหนึ่งกิโลกรัม มีทั้งของดีและไม่ดีคละกันไป อยู่ที่คนเลือกซื้อ
- พอของขายไม่ดี ทางผู้จัดงานก็จัดรายการ นาทีทอง (ชั่วโมงทอง) วันละ 2 รอบ เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๔.๐๐ น. และ ๑๗.๐๐-๑๘.๐๐ น. ทุกวัน ให้ผู้ค้านำของมาลดราคา อย่างเสื้อตัวละ ๕๐๐-๖๐๐ บาท ลดราคาเหลือ ๓๐๐-๓๕๐ บาท, น้ำผึ้งเหลือขวดละ ๑๐๐ บาท
- ของ ๓ ดาว ถึง ๕ ดาว ราคา เหลือ ๑ ดาว ผลประโยชน์ตกแก่ผู้บริโภค แต่ผู้ค้าแทบเอาตัวไม่รอด
- พวกเสื้อผ้า เหลือมากที่สุดต้องมาขายเลหลัง, อาหารที่เก็บไว้ได้ไม่นาน พวกหมูยอ ต้องมาขายหั่นราคา
- หั่นราคาไม่พอ ต้องแข่งขันกันเองด้วย ผลก็คือขายของพอได้กำไร แต่เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วขาดทุนครับ....
- อย่างค่าใช้จ่ายด้านที่พัก ห้องหนึ่งราคา ๗๐๐ บาท, ค่าอาหารตกวันละ ๑๐๐ บาท
- ถ้ามาขาย ๒ คน ต้องมียอดขายวันละ ๒,๐๐๐ บาทขึ้นไปจึงจะไม่ขาดทุนครับ
- ค่าใช้จ่ายในการขนย้ายของไป-กลับ ไม่ต้องพูดถึง....
- อย่างยอดขายที่ร้านผม ๙ วัน ได้ยอดขาย ๓ พันกว่าบาทเท่านั้นครับ อยู่สองคน...ถ้าคิดค่าใช้จ่ายจริงแล้วตกประมาณหมื่นกว่าบาทครับ.....
- ถ้าเป็น OTOP แบบรากแก้วหรือรากหญ้าจริงๆ ผมว่า..เข็ดไม่กล้ามา OTOP City อีกแล้ว..
- แต่พวกที่ขายดีก็มีนะครับ....
- ถ้ามองโลกในแง่ดี...ก็คือทางการให้เรามาโฆษณาสินค้าฟรีนะครับ...คิดค่าโฆษณานาทีละแสน...งานนี้ก็คุ้มแสนคุ้มจริงๆ....
|
BeeMan |