หนังสือแปล นวัตกรรมการเรียนรู้แห่งอนาคตจากฟินแลนด์(๑)แปลจาก Phenomenal Learning from Finland เขียนโดย ศาสตราจารย์ Kirsti Lonka ผู้มีชื่อเสียงแห่งมหาวิทยาลัย เฮลซิงกิ เป็นเรื่องของ การเรียนรู้ผ่านปรากฏการณ์ (Phenomenal-Based Learning) ใช้เป็นคู่มือคิดออกแบบชั้นเรียนได้ โดยจับ ๗ ประเด็นหลัก เรียกว่า ๗ สมรรถนะคือ
สมรรถนะที่หนึ่ง การคิดและการเรียนรู้ที่จะเรียนรู้
สมรรถนะที่สอง สมรรถนะทางวัฒนธรรม ปฏิสัมพันธ์ และการแสดงตัวตน
สมรรถนะที่สาม การดูแลตนเอง และการจัดการชีวิตประจำวัน
สมรรถนะที่สี่ ทักษะการสื่อสารรอบด้าน
สมรรถนะที่ห้า ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร
สมรรถนะที่หก ทักษะชีวิตการทำงานและทักษะผู้ประกอบการ
สมรรถนะที่เจ็ด การมีส่วนร่วม การมีบทบาทผลักดัน และการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน
การเรียนรู้ผ่านปรากฏการณ์
ทั้ง ๗ สมรรถนะข้างบน เรียนรู้ผ่านปรากฏการณ์ (phenomenon-based learning) ที่ผมคิดว่าเป็นสาระหลักของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งก็คือการเรียนรู้อย่างเป็นองค์รวม หรือการเรียนรู้บูรณาการ ที่จัดการเรียนรู้เชิงรุกโดยให้นักเรียนเรียนผ่านการปฏิบัติในสถานการณ์จริงหรือใกล้จริง ซึ่งก็คือการทำโครงงานนั่นเอง เพื่อตอบโจทย์ที่ตนสนใจร่วมกัน โดยครูทำหน้าที่เป็นโค้ช
ในการเรียนรู้แบบนี้ นักเรียนได้เรียนสาระวิชาไปพร้อมๆ กันด้วย ภายใต้การดูแลช่วยเหลือยุยงของครู นักเรียนจะได้เรียนรู้สาระวิชาหรือทฤษฎีในมิติที่ลึกและเชื่อมโยง ตัวอย่างของปรากฏการณ์ที่ควรนำไปให้นักเรียนช่วยกันคิดโจทย์ได้แก่ ความยากจน การพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือระบบนิเวศน์ เศรษฐกิจโลก สุขภาพและสุขภาวะ
เท่ากับนักเรียนได้เรียนตรรกะของปรากฏการณ์ (ชีวิตจริง) กับตรรกะของสาขาวิชาไปพร้อมๆ กัน เห็นความเชื่อมโยงระหว่างวิชาการกับชีวิตจริง ซึ่งสำหรับนักเรียนไม่ใช่เรื่องยาก หากครูจัดกระบวนการเป็น ความยากอยู่ที่ครูที่จะต้องเปลี่ยนใจและพัฒนาสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้แบบใหม่นี้
ผมมีความเห็นว่า การเรียนรู้ผ่านปรากฏการณ์นี้ไม่ใหม่นักสำหรับโรงเรียนไทยกระแสก้าวหน้า ที่เปลี่ยนไปจัดการเรียนรู้เชิงรุกอยู่แล้ว แต่ในหนังสือมีแง่มุมรายละเอียดวิธีคิดที่น่าจะก้าวหน้าขึ้นไปอีก สมควรที่ครูและนักศึกษาหัวก้าวหน้าของไทยจะได้อ่านและพิเคราะห์พิจารณาอย่างละเอียด หนังสือเล่มนี้หนา ๓๙๙ หน้า มีการตีความ active learning (การเรียนรู้เชิงรุก) และ socio-emotional learning (การเรียนรู้ในมิติสังคมและอารมณ์) ที่น่าสนใจยิ่ง เชื่อมสู่มิติของการศึกษาเพื่อสร้างคนดี พลเมืองดี วิชาหน้าที่พลเมืองที่วงการศึกษาไทยกำลังถกเถียงกันว่ายกเลิกดีไหม หากมาอ่านและทำความเข้าใจมิติของการเรียนรู้ผ่านปรากฏการณ์ จะเห็นว่า ครูต้องจัดการให้มันบูรณาการอยู่ในกระบวนการเรียนรู้อย่างเข้มข้น เพราะส่วนหนึ่งมันคือ “ทักษะชีวิต”
มองจากมุมของสมรรถนะ วิชาหน้าที่พลเมืองบูรณาการอยู่ในทุกสมรรถนะที่ระบุข้างบน แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือสมรรถนะที่สอง โดยผมขอย้ำสมรรถนะที่เจ็ดด้วย พลเมืองในระบอบประชาธิปไตยต้องมีสมรรถนะผลักดันขับเคลื่อนอนาคตของสังคมที่ดีกว่าเดิม ต้องไม่เป็นคนนิ่งดูดาย
ในการเรียนรู้ผ่านปรากฏการณ์นี้ เมื่อทีมนักเรียนร่วมกันกำหนดโจทย์ที่คมชัดแล้ว (เน้นโจทย์จากความจริงนอกห้องเรียน) นักเรียนต้องร่วมกันตั้งคำถามจำนวนมากต่อโจทย์นั้น เพื่อให้ตนเองเข้าใจโจทย์อย่างแท้จริง แล้วร่วมกันค้นหาข้อมูลและความรู้เพื่อตอบคำถามเหล่านั้น เพื่อตีกรอบโจทย์ที่จำดำเนินการแก้ไขให้โฟกัสและเป็นไปได้ที่จะ ดำเนินการให้สำเร็จ สำหรับนำมาร่วมกันวางแผนดำเนินการแก้ไขปัญหา แล้วจึงร่วมกันดำเนินการแก้ไข เก็บข้อมูลผลที่เกิดขึ้น สำหรับนำมาสะท้อนคิดเพื่อเรียนรู้ร่วมกัน
การเรียนรู้ผ่านปรากฏการณ์ จึงเป็นการฝึก “บทบาทนอกโรงเรียน” ให้แก่นักเรียน สำหรับปูพื้นฐานสู่ชีวิตผู้ใหญ่ที่มีความแข็งแรงด้าน สมรรถนะเพื่อการเป็นผู้ร่วมนำ สร้างการเปลี่ยนแปลงให้แก่สังคมและแก่โลกในอนาคต
ตอนท้ายของหนังสือ ว่าด้วยเรื่องความท้าทายที่ไม่สิ้นสุดของเรื่องการศึกษา ที่จะต้องมีการพัฒนาต่อเนื่อง ไม่หยุดอยู่ที่ทฤษฎีหรือรูปแบบใด
ขอขอบคุณ กสศ. ที่มอบหนังสือเล่มนี้
วิจารณ์ พานิช
๑ พ.ค. ๖๔
ไม่มีความเห็น