กรณีศึกษา
Occupational profile
ชื่อ : นางสาวบี (นามสมมติ)
อายุ : 22 ปี เพศ : หญิง
ศาสนา : พุทธ
อาชีพ : นักศึกษาชั้นปีที่4 มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
มือข้างถนัด : ขวา
General appearance : เพศหญิง ผิวสีน้ำผึ้ง รูปร่างอ้วน ผมยาว
R/O : Panic disorder
อาการ : - ใจสั่นหรือหัวใจเต้นเร็ว มือสั่น คลื่นไส้หรืออยากอาเจียน รู้สึกร้อนเหมือนเป็นไข้ ปากสั่น เสียงสั่นขณะพูดนำเสนองาน
Strengths and concerns in relation to performing occupations and daily life activities
จุดแข็ง : มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่เข้ามาถึงแม้จะล้มแต่สุดท้ายก็สามารถลุกและผ่านอุปสรรคนั้นมาได้
จุดอ่อน : มีความคิดต่อตนเองในแง่ลบ มองว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่น ไม่เก่งเท่าคนอื่น
Scientific reasoning
Diagnostic reasoning
Procedural reasoning
การประเมินผู้รับบริการ
Interactive reasoning
นักศึกษา : “ วันนี้จะให้(ชื่อผู้รับบริการ)ช่วยเล่าปัญหาที่พบเจอที่ส่งผลกระทบต่อการทำกิจวัตรประจำวันใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาให้ฟังหน่อยได้ไหม ”
ผู้รับบริการ : “ ไม่รู้ว่าอาการที่เป็นอยู่เรียกว่า Panic หรือว่าอะไร แต่เราจะรู้สึกตื่นเต้น หรือมีอาการมากกว่าคนอื่น ”
Narrative reasoning
ผู้รับบริการได้เล่าถึงเรื่องราวในวัยเด็กที่ส่งผลให้ตนเองมีอาการจนถึงปัจจุบัน ผู้รับบริการบอกว่าในช่วงอนุบาลถึงมัธยมศึกษาปีที่3 คุณแม่ของผู้รับบริการทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่บ้านของเจ้านายจึงต้องคอยระวังเวลาทำสิ่งต่างๆ เพราะถ้าทำผิดพลาดอาจทำให้ผู้รับบริการโดนคุณแม่ดุหรือต่อว่า ทำให้ผู้รับบริการเกิดความกลัวว่าถ้าทำผิดจะถูกต่อว่า และอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ส่งผลให้อาการแสดงหนักขึ้นคือผู้รับบริการถูกเพื่อนบังคับให้ออกไปร้องเพลงหน้าห้องเพราะเป็นคนที่ชอบร้องเพลง และร้องเพลงเพราะ แต่สุดท้ายผู้รับบริการบอกว่าตอนนั้นร้องเพลงออกมาเสียงเพี้ยนจึงยิ่งทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิม
Pragmatic reasoning
Conditional reasoning
ผู้รับบริการมีความต้องการกล้าเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ๆเช่น การนำเสนองานหน้าชั้นเรียน การเปิดไมค์ตอบคำถามอาจารย์ขณะเรียนออนไลน์(personal causation) จึงใช้MOHO model
ปัญหาทางกิจกรรมบำบัดและเป้าประสงค์การรักษา
ครั้งที่ 1
S : ผู้รับบริการเพศหญิง บอกว่า “ รู้สึกเหมือนเป็นโรคตื่นเต้นเกินไป ก็จะรู้สึกใจเต้นเร็ว มือสั่น ตัวสั่น ถ้ามันกดดันมากๆก็จะรู้สึกเหมือนคลื่นไส้ อยากอาเจียน บางครั้งก็พูดผิดๆ ถูกๆ เสียงสั่นด้วย จะเป็นเมื่อต้องเจอเหตุการณ์ที่กดดัน เช่น พรีเซนต์งานหน้าห้อง เรียนออนไลน์แล้วต้องเปิดไมค์พูด ”
O : ประเมินโดยใช้ state examination วัดความกลัวที่บริเวณใบหน้าก่อนเคาะอารมณ์ให้คะแนน 5/10 คะแนน และหลังเคาะอารมณ์ให้คะแนน 4/10 คะแนน
A : ผู้รับบริการกลัวการเข้าสังคมหรือการพบเจอกับสถานการณ์ใหม่ๆ
P : ให้เคาะอารมณ์ก่อนนอนดติดต่อกัน 4 คืน 3 ครั้ง พร้อมบันทึกผลความกลัวโดยให้คะแนน 0-10 คะแนนก่อนและหลังการเคาะอารมณ์ ต่อจากนั้นให้หายใจออกทางปากจนสุดแล้วนับถอยหลัง 30 ครั้ง
ครั้งที่ 2
S : ผู้รับบริการเพศหญิง พูดด้วยน้ำเสียงที่สดใส และบอกว่าในคาบเรียนล่าสุดที่ปกติจะมีอาการทางกาย เช่น มือสั่น ใจเต้นเร็ว รู้สึกมีอาการลดลง แต่ก็ยังมีตื่นเต้นอยู่บ้าง
O : ประเมินโดยใช้ state examination หลังจากเคาะอารมณ์และต่อด้วยหายใจออกนับถอยหลัง 30 ครั้ง ติดต่อกัน 4 คืน วัดค่าความกลัวที่บริเวณใบหน้าก่อนเคาะอารมณ์ได้ 3/10 คะแนน หลังเคาะอารมณ์ได้คะแนน 1/10 คะแนน
A : ผู้รับบริการมีค่าความกลัวลดลงทำให้ตื่นเต้นน้อยลง แต่ยังขาดความมั่นใจในการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ
P : - เพิ่มความมั่นใจด้วยการหายใจเข้าค้างไว้นับ 1 2 3 4 แล้วหายใจออกทางปากจนสุดนับ 30 ถอยหลังจนถึง 1 ก่อนเรียนในวิชาที่กลัว
- เพิ่มสมาธิด้วยการจับชีพจร 1 นาที โดยวัดที่ข้อมือทั้ง 2 ข้าง (วัดสมองทั้ง 2 ซีก) หลังจากการฝึกหายใจ
ครั้งที่ 3
S : ผู้รับบริการบอกว่าวิธีการบำบัดที่ให้กลับไปทำสามารถช่วยได้ชั่วคราว แต่ผู้รับบริการต้องการให้ได้ผลในระยะยาว
O : ใช้เทคนิค CBT ตรวจสอบความคิด ความรู้สึก พฤติกรรม และอาการทางกายของผู้รับบริการโดยให้ผู้รับบริการบอกถึง ความคิด อารมณ์ อาการทางกายขณะต้องนำเสนองานหน้าห้อง
ความคิด : “ เวลามีพรีเซ้นต์จะคิดว่ามันน่ากลัว เหมือนโดนอาจารย์จับจ้อง เป็นจุดสนใจ แล้วถ้าอาจารย์ถามตอบไม่ได้จะต้องโดนต่อว่า ”
อารมณ์ : “ รู้สึกกลัว กังวล ”
อาการทางกาย : “ มีอาการมือสั่น ปากสั่น ใจเต้นเร็ว อยากอาเจียน มีนอนไม่หลับบางครั้ง ”
หลังจากนั้นให้ผู้รับบริการให้คะแนนตัวเองในช่วงที่ต้องตอบคำถามอาจารย์หลังจากการนำเสนองาน โดยผู้รับบริการให้คะแนนการรู้สึกตัว50% คะแนนการตอบคำถามถูกต้อง60-70% ไม่ได้คาดหวังว่าตนเองจะต้องตอบคำถามถูก100% และถ้าตอบคำถามไม่ถูกคิดว่าจะโดนอาจารย์ต่อว่า30-40%
A : ผู้รับบริการมีความคิดวิตกกังวล จึงไปขัดขวางความรู้ความเข้าใจในขณะที่พูดนำเสนอหรือตอบคำถามจึงไม่สามารถตอบคำถามหรือพูดนำเสนองานได้ และเมื่อสะสมเป็นประสบการณ์จึงแสดงออกมาเป็นอาการทางกาย
P : ให้ home program ดังนี้
Story telling
จากการทำเคสในครั้งนี้ นักศึกษาค่อนข้างมีความกังวลเพราะมีความยากลำบากในการหาเคสเนื่องจากเป็นช่วงที่เกิดโรคระบาดไวรัสโควิด 19 ทำให้ไม่ได้ออกจากบ้านไปพบผู้อื่น หลังจากได้เคสทุกครั้งจะติดต่อสื่อสารและทำการบำบัดผ่านการโทรคุยผ่านแอปพลิเคชันไลน์และโปรแกรม ZOOM ทำให้ต้องระมัดระวังคำพูดและต้องชัดเจน เริ่มตั้งแต่การสัมภาษณ์ผู้รับบริการ การประเมิน การวางแผนการรักษา การให้การรักษา และการติดตามผลการรักษา ซึ่งในช่วงแรกนักศึกษายังรู้สึกไม่มั่นใจในการทำเคสแต่เพราะความตั้งใจของผู้รับบริการและความช่วยเหลือ คำแนะนำที่ดีจากอาจารย์และเพื่อนภายในสาขาทำให้นักศึกษาเกิดความตั้งใจ และมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้รับบริการ ทั้งการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวโรคและวิธีการรักษาทางกิจกรรมบำบัด โดยจากการติดตามผลในช่วงแรกที่ได้ให้การรักษาเคาะอารมณ์ และฝึกหายใจสามารถช่วยลดอาการใจเต้นเร็ว และรู้สึกตื่นเต้นน้อยลง แต่ผู้รับบริการยังไม่พอใจเพราะสามารถช่วยได้แค่ในระยะสั้น ผู้รับบริการต้องการวิธี จะช่วยในระยะยาวและเมื่อนักศึกษาได้มาปรึกษากับอาจารย์และตกลงร่วมกันที่จะนัดพบเพื่อพูดคุย และรักษาโดยอาจารย์ได้เลือกใช้เทคนิค CBT และให้ home program กับผู้รับบริการเป็นการปรับความคิด ปรับพฤติกรรม ร่วมกับการฝึกหายใจซึ่งจากการรักษาในครั้งนี้ทำให้นักศึกษาได้ความรู้เพิ่มขึ้นในการให้เหตุผลทางคลินิก
ไม่มีความเห็น