๓๐ มกราคม ๒๕๖๔ ๑๙.๐๐ - ๒๐.๓๐ น. เวลาไทย เป็นรายการสรุป What has the world learned from Covid-19 จาก Webinar ที่ได้จัดมาก่อน ๔ ครั้ง ๔ เรื่อง คือ (๑) มองผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคมจากแว่นความเท่าเทียม (๒) การจัดการ infodemic (๓) การเตรียมพร้อม (preparedness) (๔) ระบบกำกับดูแล (governance) เป็นหนึ่งชั่วโมงครึ่งที่ประเทืองปัญญาสุดๆ (๑)
ผมเขียนบันทึกนี้แบบสรุปสุดๆ เอา ๔ ประเด็นข้างบนมายำกัน โดยสวมแว่นโลก
บทเรียนข้อแรกที่โควิดช่วยเผยคือ การที่ประชาชนของประเทศผู้นำอันดับหนึ่งของโลกทำผิดพลาด เลือกคนกึ่งบ้ากึ่งดีมาเป็นประธานาธิบดีอยู่ ๔ ปี และช่วงปีสุดท้ายกำกับการเผชิญโควิด ๑๙ อย่างผิดพลาด ไม่ใช่แค่สร้างความเสียหายต่อประเทศของตนเท่านั้น ยังก่อความปั่นป่วนแก่โลกด้วย เพราะในเรื่องการระบาดใหญ่ของโควิด โลกเชื่อมถึงกันหมด (hyper-connectedness) ความปั่นป่วนนั้นไม่ใช่แค่ด้านโรคระบาดและเศรษฐกิจเท่านั้น ยังมีผลด้านอื่นๆ อย่างซับซ้อน เป็นบาดแผลลึกของโลก ที่กว่าจะเยียวยาได้ก็จะอีกหลายปี ชี้ว่าประชาธิปไตยตะวันตกมีจุดอ่อนชัดเจน อาจถึงคราวต้องปรับใหม่
ทำให้ผมระลึกถึงข้อเตือนสติของ ศ. นพ. ประเวศ วะสี ว่าระเบียบโลกตามแนวตะวันตกถึงทางตัน เราต้องคิดสร้างระบบใหม่ของเราเอง รวมทั้งช่วยโลกด้วย เรียกว่าแนวทางพุทธพัฒนา (๑)
ระเบียบโลก ที่พัฒนามาถึงยุคปัจจุบัน และใช้อยู่ในปัจจุบัน ใช้การไม่ได้เสียแล้ว
บทเรียนข้อที่ ๒ เราอยู่ในยุคข้อมูลข่าวสารล้นเกิน (infodemic) ทั้งข่าวสารดี และข่าวสารลวง เราต้องรู้ทันไม่ตกเป็นเหยื่อ รู้จักเลือกรับสารอย่างพอเหมาะ และรัฐต้องมีมาตรการจัดการอย่างได้ผล ตัวเราอย่าไว้ใจว่าข่าวจากคนที่มีตำแหน่งใหญ่โต หรือน่านับถือ จะเชื่อถือได้เสมอไป เราต้องมีวิจารณญาณของเราเอง ต้องรู้จักตรวจสอบ รัฐต้องจัดแหล่งอ้างอิงให้ตรวจสอบได้สะดวก ทันเหตุการณ์ และทันกาล
บทเรียนข้อที่ ๓ คุณค่าของความไว้วางใจ (trust) ที่ช่วยให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ฟันฝ่าวิกฤติไปด้วยกัน น่าเสียดายที่ยุคนี้สังคมขาดแคลนความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก คนที่สร้างตัวให้เป็นคนน่าเชื่อถือ และระมัดระวังไม่เผลอหรือผิดพลาด ทำให้ผู้คนเชื่อถือลดลง เป็น “คนรวย” คือรวยความไว้วางใจจากผู้คน
หากคนไทยช่วยกันทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่น่าเชื่อถือ และได้รับความเชื่อถือจากทั่วโลก เราจะทำธุรกิจและสร้างความสัมพันธ์ในโลกนี้ได้อย่างสะดวก
ขอแถมประสบการณ์ชีวิตส่วนตัว ที่ผมเรียนรู้เรื่องนี้จากพ่อ ที่พ่อผมสร้างฐานะขึ้นได้จากทุนความเชื่อถือจากผู้คนในพื้นที่ สามารถลงทุนทำธุรกิจได้โดยไม่ต้องใช้เงิน
บทเรียนข้อที่ ๔ ความเสมอภาค (equity) เป็น “สินทรัพย์” (assets) ของสังคม สังคมที่ความเหลื่อมล้ำสูงเป็นสังคมที่มีความอ่อนแอซ่อนอยู่ภายใน เมื่อถึงคราววิกฤติจะเผชิญวิกฤติได้ไม่ดี โควิด ๑๙ ได้ช่วยเผยความเหลื่อมล้ำมากมายหลากหลายด้าน
บทเรียนข้อที่ ๕ มนุษย์ได้สร้างระบบโลกแบบ multilateral หรือแบบที่มีกลไกให้ประเทศต่างๆ ได้ร่วมกันพัฒนาระบบโลก และร่วมกันแก้ปัญหาของโลก ที่ให้ชื่อว่า สหประชาชาติ (United Nations) ที่มีองค์การชำนัญพิเศษดูแลเฉพาะด้าน เช่นองค์การอนามัยโลกดูแลด้านสุขภาพ ในที่ประชุมไม่มีคนเอ่ยคำว่า United Nations เลย เพราะมันกลายเป็นคำที่เฝือ หันมาใช้คำว่า multilateral แทน
จะต้องมีการฟื้นพลังของกลไกรวมพลังของโลก เพื่อการอยู่ร่วมกัน เผชิญชตากรรมร่วมกัน
บทเรียนข้อที่ ๖ ชตากรรมของมนุษย์ และของโลก เปราะบางกว่าที่เราคิด เราถูกชักจูงให้เชื่อว่า มนุษย์เราใช้ความฉลาดสร้างความก้าวหน้าด้านต่างๆ อย่างมากมาย เราคิดว่าเรามีความเข้มแข็งมาก ซึ่งก็เป็นความจริง แต่ความก้าวหน้าที่มนุษยชาติสร้างขึ้นนั้น ไม่สมดุล นอกจากก้าวหน้าแล้ว เรายังสร้างปัญหาซ่อนเร้นไปพร้อมๆ กัน เช่นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สร้างการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก
พัฒนาการของมนุษย์และสังคมโลก มีความซับซ้อนสุดคณา เราต้องระมัดระวัง ให้แน่ใจว่าเป็นพัฒนาการที่สมดุล
บทเรียนข้อที่ ๗ ระบบคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้า (universal health coverage), ระบบสุขภาพที่ถูกต้อง, และระบบสาธารณสุขมูลฐาน (primary health care) มีความสำคัญมาก
เข้าใจง่าย หากเปรียบเทียบ ๓ ระบบนี้ของสหรัฐอเมริกา กับของไทย สหรัฐอเมริกาไม่มีระบบคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้า ไม่มีระบบสาธารณสุขมูลฐาน ในขณะที่ไทยมี และได้พยายามพัฒนาให้เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ส่วนระบบสุขภาพอเมริกันเป็นระบบธุรกิจนำ ในขณะที่ของไทยเป็นระบบรัฐนำ การระบาดของโควิด ๑๙ ช่วยพิสูจน์ว่า ระบบไหนดีกว่า
นี่คือระบบการเตรียมพร้อม (preparedness) ที่ต้องพัฒนาอยู่ในระบบตามปกติ
บทเรียนข้อที่ ๘ สุขภาพเป็นเรื่องของทุกระดับชั้นในสังคม และทุกภาคส่วน (sector)
ทุกระดับชั้น คือ โลก ประเทศ ภูมิภาคในประเทศ ชุมชน ต้องร่วมกันทำให้สุขภาพเป็นเป้าหมายหลักของการพัฒนาในภาวะปกติ และร่วมกันดำเนินการเผชิญภาวะวิกฤติยามมีโรคระบาดใหญ่ และทุกภาคส่วน คือรัฐ ธุรกิจเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน ต้องร่วมมือกันดำเนินการด้านสุขภาพทั้งยามสงบและยามวิกฤติ
บทเรียนข้อที่ ๙ ระบบวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม มีความสำคัญยิ่ง ทั้งต่อความก้าวหน้า และต่อการเผชิญวิกฤติ ในกรณีของโควิด ๑๙ วิทยาศาสตร์ช่วยมาก เพราะเราสามารถทำความรู้จักเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ได้อย่างรวดเร็วจากความก้าวหน้าของชีววิทยา เรา ทำ sequencing เชื้อไวรัส (เป็น RNA virus) และเข้าใจธรรมชาติของไวรัส และตอนนี้ก็รู้ว่ามีสายพันธุ์ใหม่จากการกลายพันธุ์ที่ติดต่อง่ายขึ้น เป็นต้น
ท่านที่สนใจว่า วิทยาศาสตร์ได้สร้างความรู้เรื่องเชื้อ SARS-CoV-2 ไปไกลแค่ไหน อ่านได้ที่ (๒) ตัวอย่างข้อเสนอในการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่อควบคุมการระบาดของโรคในประเทศไทยอ่านได้ที่ (๓) (๔) (๕)
ที่เป็นมหัศจรรย์ของความสำเร็จของวิทยาศาสตร์คือการพัฒนาวัคซีน เร่งให้เร็วขึ้นสำเร็จได้ในเวลาเพียง ๑๑ เดือน
แต่เราก็ได้บทเรียนว่า วิทยาศาสตร์อย่างเดียวไม่พอ ต้องใช้สังคมศาสตร์ร่วมด้วย ที่ประชุมบอกว่า เมื่อเห็นสภาพ vaccine politics, vaccine inequities แล้ว ก็เห็นว่าตอนเริ่มพัฒนาวัคซีน ควรมีข้อตกลงเรื่องกติกาการเข้าถึงหรือการกระจายวัคซีนล่วงหน้า
เรื่องกระจายวัคซีนโควิด องค์การอนามัยโลก และ Gavi หาทางแก้ด้วยกลไก Covax ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าจะแก้ปัญหาได้จริง
สาระในช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งมีสาระมาก ผมสังเคราะห์เอามาเผยแพร่ต่ออย่างย่อ
วิจารณ์ พานิช
๓๑ ม.ค. ๖๔
ไม่มีความเห็น