ในการประชุมเชิงปฏิบัติการสถาบันผลิตและพัฒนาครูรัก(ษ์)ถิ่น ปีที่ ๒ “ร่วมมือ ร่วมใจ สร้างครูรุ่นใหม่หัวใจรัก(ษ์)ถิ่น” โครงการสร้างโอกาสทางการศึกษาสําหรับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลเป็นครูรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาคุณภาพโรงเรียนของชุมชน วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๓ ณ ห้องประชุมลาเวนเดอร์ โรงแรม ที เค พาเลซ (แจ้งวัฒนะ) ผมได้รับมอบหมายให้กล่าวเปิด ในหัวข้อ
“ทำอย่างไรให้การผลิตครูไปสู่เป้าหมาย ไม่ใช่การแข่งขันแย่งชิงผู้เรียน” แต่ผมได้แปลงชื่อหัวข้อการบรรยายเป็น ผลิตครูสู่เป้าหมายสูงส่ง และทางเจ้าหน้าที่ของ กสศ. ได้ถอดเทป เอามาให้ผมตรวจสอบ เพื่อจัดพิมพ์เป็นหนังสือเล่มเล็ก จึงนำต้นฉบับที่ปรับปรุงแล้วมาเผยแพร่อีกทางหนึ่ง เป้าหมายสุดท้ายของการผลิตครูคือ คุณภาพการศึกษาของประเทศมีคุณภาพสูง ซึ่งหมายถึงผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนทุกคนเข้าเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำ เพื่อบรรลุเป้าหมายตามหัวข้อข้างบน ควรพิจารณา ๖ ประเด็นคือ
|
หนังสืออีกเล่มหนึ่ง คือ World Development Report 2018 (WDR 2018) ในชื่อ Learning to Realize Education’s Promises ซึ่งหมายถึงการเรียนรู้เพื่อทำให้การศึกษาส่งผลลัพธ์ตามคำมั่นสัญญา โดยคำมั่นสัญญาคือ การเรียนรู้ของผู้เรียน (Learning) สาระในหนังสือมาจากผลงานวิจัย บอกว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลก (รวมทั้งประเทศไทย) ไม่ได้ทำตามคำมั่นสัญญานั้น มีผลให้การศึกษามีคุณภาพต่ำ โดยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ 4 ปัจจัยหลักที่บกพร่อง 1. ครูมีจิตวิญญาณที่ไม่ตรงตามความต้องการที่จะพัฒนาคน ไม่มุ่งมั่นในการสร้างการเรียนรู้ 2. นักเรียนไม่มีแรงจูงใจในการเรียน 3. ปัจจัยภายในโรงเรียนไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ 4. การจัดการโรงเรียน ไม่ได้มีผลส่งเสริมการสอนและการเรียน สาเหตุหลักคือปัจจัยทางเทคนิค และปัจจัยทางการเมือง ดึงความสนใจของโรงเรียน ครู และครอบครัว ออกไปจากเรื่องการเรียนรู้ เป็นสภาพปัญหาที่หยั่งรากลึกจนคนในประเทศนั้นๆ (รวมทั้งประเทศไทย) ไม่รู้สึก |
ครูคุณภาพสูง มีผู้เสนอว่า ครูแห่งศตวรรษที่ 21 ต้องการปัจจัยหลัก 2 อย่าง คือ
ผมขอเพิ่มอีกปัจจัยหนึ่ง คือ
มีผู้เสนอว่า ครูที่ดีต้องมีคุณลักษณะ หรือสมรรถนะสำคัญ ๑๕ ประการ และผมเพิ่มอีก ๑ รวมเป็น ๑๖ ประการ ได้แก่
สำหรับประเทศไทย ต้องเพิ่มทักษะ Content Literacy ไปด้วย ครูควรเข้าใจในเนื้อหาที่จะสอนเป็นอย่างดีและแม่นยำ ครูต้องวิเคราะห์เนื้อหา สาระวิชาได้อย่างแตกฉาน เพื่อเอาไปทำ 2 สิ่ง คือ ออกแบบการเรียนรู้ และใช้สังเกตการเรียนรู้ของเด็ก ว่าเกิดการเรียนรู้จริงหรือไม่ (Formative Assessment) ซึ่งจะตามมาด้วย Constructive Feedback แก่นักเรียน ที่จะทำให้ครูเป็นครูคุณภาพสูง คุณสมบัติเพิ่มเติมของครูคุณภาพสูง 17. มีจิตวิญญาณความเป็นครู 18. สมรรถนะในการจัดการเรียนรู้ 19. ทักษะการสร้างแรงบันดาลใจ 20. คาดหวังสูง สนับสนุนสูง 21. ฟังศิษย์ เพื่อเข้าใจศิษย์ 22. เอาใจใส่เนื้อหาสาระ เพื่อใช้โค้ชให้ศิษย์ เรียนระดับผิว ระดับลึกและรู้ระดับเชื่อมโยง (Transfer) 23. เรียนรู้จากการปฏิบัติงาน ผ่านการเรียนรู้ร่วมกับครู 24. ใช้พ่อแม่ คนในชุมชน เป็นผู้ร่วมจัดการเรียนรู้ (Co-educator) ครูไม่ทำงานแบบโดดเดี่ยวในโรงเรียนเท่านั้น แต่ใช้ทรัพยากรจากครอบครัว ชุมชน เข้ามาร่วมด้วย 25. ใช้นักเรียนเป็นผู้ร่วมจัดการเรียนรู้ (Co-educator) โดยการศึกษาหาข้อมูลมาร่วมแลกเปลี่ยนกันในชั้นเรียน 26. เรียนรู้และพัฒนาทักษะในการประเมินสมรรถนะของนักเรียน |
การผลิตครู “ประเทศที่มีการศึกษาคุณภาพสูงและครูมีคุณภาพสูง จะผลิตครูจำนวนจำกัดเท่าที่ต้องการเท่านั้น” ประโยคนี้เป็นผลชี้วัดจากการวิจัยในประเทศที่เป็นเลิศด้านการศึกษา คำถามจึงกลับมาที่ประเทศไทยว่า วันนี้เราผลิตครูที่มีคุณภาพหรือไม่ และการผลิตที่เกินจำนวนที่ต้องการอย่างมากมายอย่างที่เป็นอยู่ ถือเป็นการใช้ทรัพยากรของชาติอย่างสูญเปล่าหรือไม่ และที่ยิ่งกว่านั้น เป็นการทำลายศักดิ์ศรีของวิชาชีพครูหรือไม่ จากหนังสือการศึกษาคุณภาพสูงระดับโลก มีใจความสำคัญ 6 ประเด็นด้วยกัน
ปัจจัยทั้งหมดจะส่งเสริมให้ระบบการศึกษาส่งมอบผลลัพธ์การเรียนรู้ที่มีคุณภาพสูง ครูมีความก้าวหน้า รวมไปถึงยกระดับศักดิ์ศรีของความเป็นครูด้วย ปัญหาคือ จะเข้าไปแก้ไขเชิงระบบเกี่ยวกับการศึกษาไทยอย่างไร แหล่งเรียนรู้หนึ่งคือ หนังสือ Finnish Lessons 2.0 ที่แปลเป็นไทยว่า ปฏิรูปการศึกษาให้สำเร็จ บทเรียนใหม่จากฟินแลนด์ มีข้อคิดที่น่าสนใจ ดังนี้ 1. เลือกเฟ้นคนที่จะมาเป็นครู การสมัครคัดเลือกมาเป็นครูอยู่ในอัตราการแข่งขันที่สูงมากถึง 10:1 โดยมีเกณฑ์สำคัญ 3 ประการคือ บุคลิกภาพ ความรู้ และความเหมาะสม 2. หลักสูตรฝึกหัดครูที่มีการค้นคว้าวิจัยเป็นฐาน (research-based curriculum) จะทำให้คุณภาพของครูสูง หลักสูตรด้านการศึกษาของฟินแลนด์ประกอบด้วย ๓ ส่วนคือ (๑) ทฤษฎีการศึกษา (๒) ความรู้ในเนื้อหา ผนวกกับวิธีสอน (๓) ศาสตร์การสอนรายวิชา และการฝึกปฏิบัติทางวิชาชีพ 3.ครูคือนักวิจัย เพื่อที่จะได้มีท่าทีของนักตั้งคำถาม และการทำงานอย่างอิงข้อมูลหลักฐาน ติดตัวไปใช้ในการสอนด้วย 4.การพัฒนาทางวิชาชีพ (professional development) ซึ่งหมายถึงการจัดให้การทำงาน หรือการทำหน้าที่ครู เป็นกระบวนการเรียนรู้ของครูไปในตัว ที่เราเรียกว่า PLC – Professional Learning Community) 5. ครูคือผู้นำ ผู้นำโรงเรียนเองก็เป็นครู ซึ่งหมายความว่า ครูเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียน และผู้อำนวยการโรงเรียนก็ต้องทำหน้าที่ครู มีจิตวิญญาณและความรับผิดรับชอบเหมือนครู คือรับผิดรับชอบ (accountable) ต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน 6. ครูดี โรงเรียนเด่น ประกอบด้วยหัวใจ ๓ ข้อคือ (๑) ผู้มีพรสวรรค์และแรงจูงใจสูงจะเลือกอาชีพสอนหนังสือ (๒) การฝึกหัดครู เป็นผลจากการร่วมมือกันระหว่างคณะศึกษาศาสตร์ กับภาควิชาสาขาอื่นๆ ในมหาวิทยาลัยวิจัยของฟินแลนด์ คือคณะศึกษาศาสตร์ไม่ทำงานแบบแยกตัวจากศาสตร์อื่น แต่ทำงานร่วมมือกัน และ (๓) การฝึกหัดครูใช้การค้นคว้าวิจัยเป็นฐาน |
โรงเรียนกับการผลิตครู เปรียบเทียบกับการผลิตหมอ และการผลิตพยาบาล มีความคล้ายคลึงกับระบบการผลิตครู คือการผลิตแพทย์พยาบาลต้องมีโรงพยาบาลเป็นแหล่งฝึก และการผลิตครูก็ต้องมีโรงเรียนเป็นแหล่งฝึก เพราะการผลิตครูต้องเรียนทั้งในเชิงทฤษฎีและปฏิบัติไปด้วยกัน แต่ในประเทศไทยยังจัดการเรียนการสอนให้มีการเสริมแรงระหว่างทฤษฎีกับปฏิบัติได้ไม่ดีเท่าที่ควร ยังขาดการปลูกฝังด้าน Transfer Learning เพื่อที่นำไปปรับใช้ตามสถานการณ์ ด้วยเหตุผลดังกล่าว แพทย์จึงไม่ได้ไปฝึกงานในเฉพาะโรงเรียนแพทย์ แต่ต้องไปฝึกหัดในโรงพยาบาลในชนบทด้วย เพื่อเรียนรู้จากผู้ป่วยที่เป็นโรคที่ไม่ซับซ้อนเหมือนผู้ป่วยในโรงเรียนแพทย์ และที่สำคัญยิ่งกว่า คือ เพื่อฝึกการทำงานในสภาพที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ครบครันอย่างในโรงเรียนแพทย์ ซึ่งหมายความว่า นักศึกษาครูต้องได้รับการฝึกให้ปฏิบัติงานได้ในพื้นที่ขาดแคลน ทักษะวิชาชีพก็เป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องที่ซับซ้อน มีเรื่องคุณธรรม จริยธรรม สอดแทรกอยู่ในนั้นด้วย รวมทั้งการฝึกความอดทนต่อความเห็นที่ต่าง การเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ผมคิดว่าความเป็นครูซับซ้อนกว่าความเป็นหมอ เพราะในการรักษาคนไข้นั้นมีผลร้ายแรงที่สุดคือคนไข้เสียชีวิต แต่ครูมีผลทางปัญญา ที่จะส่งผลระยะยาว ต่อช่วงชีวิตของคนในสังคม ทักษะการทำงานร่วมกันกับคนในวิชาชีพเดียวกัน และร่วมกับคนต่างวิชาชีพ มีความสำคัญ เพราะครูจะต้องทำงานโดยใช้ผู้อื่น ที่ทำงานหรือดำรงชีวิตในหลากหลายบริบท มาทำหน้าที่ผู้ช่วยครู (co-educator) เพื่อหนุนให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้จากสถานการณ์จริง การจัดการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดการสนธิพลัง (synergy) ระหว่างความรู้เชิงทฤษฎีกับความรู้เชิงปฏิบัติ เช่น การฝึกนำประสบการณ์ตรงของตนไปตีความด้วยทฤษฎี นำสู่การเรียนรู้ลุ่มลึก และเชื่อมโยงยิ่งขึ้น การฝึกงานแนวใหม่ โดยใช้ reflective coaching ช่วย อาจารย์ทำหน้าที่ โค้ช ช่วยให้นักศึกษาสะท้อนคิดเชิงทฤษฎี จากประสบการณ์การฝึกสอนของตน โดยเขียนบทสะท้อนคิด (reflective journal) ใส่เข้าไปในระบบ โซเชี่ยลมีเดีย ของรายวิชา ให้อาจารย์เข้าไปอ่านและตั้งคำถามเพื่อ โค้ช นักศึกษา ให้นักศึกษาได้ทำความเข้าใจทฤษฎีในมิติที่ลึกขึ้น โดยอาศัยข้อมูลจากการฝึกงาน โดยนัยนี้ อาจารย์ก็จะได้ฝึกการทำหน้าที่อาจารย์ผ่าน coaching เป็นแนวทางเพิ่มศักดิ์ศรีของวิชาชีพครูคืนมา เพราะวงการฝึกหัดครูไทยจะได้ชื่อว่า ผลิตครูที่มีคุณภาพสูง
การปลูกฝังเจตคติที่ดี ต่อการทำงานในชนบท เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นโดยตรง การมีโรงเรียนดีให้นักศึกษาครูใช้เป็นสถานที่ฝึกงาน มีคุณค่านานัปการแก่นักศึกษาครู ได้แก่
โรงเรียนมีนักเรียนเป็นผู้ร่วมเรียนรู้ (co-learner) ของนักศึกษาครู สภาพเช่นนี้ จะก่อผลดีอย่างน้อย ๓ ประการคือ (๑) นักเรียนได้ฝึกเรียนในฐานะผู้ร่วมสร้างความรู้ เน้นที่ “การเรียนรู้ขาออก” ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่ถูกต้อง คือ active learning (๒) นักศึกษาครูได้ฝึกทักษะการใช้นักเรียนเป็นผู้ร่วมทำหน้าที่เอื้ออำนวยการเรียนรู้ ซึ่งเป็นทักษะที่จะต้องใช้ตลอดชีวิตการเป็นครู และ (๓) ผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนในโรงเรียน ยกระดับขึ้น นักศึกษาครูได้ฝึกงานวิชาชีพครูโดยมีพี่เลี้ยงที่ดี ซึ่งในที่นี้คือครูสอนดีในโรงเรียนนั้น เสริมด้วยอาจารย์ของสถาบันผลิตครู นักศึกษาครูได้สังเกตชั้นเรียนของครูสอนดี (master teacher) ได้เข้าวง PLC ที่มีเป้าหมายชัดเจน นักศึกษาครูได้ฝึกความท้าทายผ่านการสอนนักเรียนหลายรูปแบบ โดยมีที่ปรึกษาคอยให้คำแนะนำ
โดยหัวใจหลักที่สำคัญ คือต้องการครูแกนนำ หรือครูสอนดี จากโรงเรียนที่มีแรงบันดาลใจสูงและทุ่มเท ต้องลงแรงและนำทฤษฎีมาใช้ เพราะการเรียนรู้สายครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์นั้นมีทฤษฎีการเรียนรู้ค่อนข้างมาก ต้องนำภาคปฏิบัติมาร่วมด้วย และค่อยๆ ทำ reflection เพื่อเรียนรู้ทฤษฎีในมิติที่ลึก ไปพร้อมๆ กันกับการฝึกทักษะการเป็นครู |
การมีครูดีที่มุ่งมั่นทำหน้าที่ครูเพื่อศิษย์ อย่างครูเรฟ เอสควิธ ในหนังสือ Teach like your hair’s on fire ครูนอกกรอบกับห้องเรียนนอกแบบ ผ่านการสอนโรงเรียนในเมือง ลอส แอนเจลีส ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ในสหรัฐอเมริกา ในชั้นเรียน ป. ๕ โดยผู้เรียนเป็นเด็กที่มีอายุ 9-10 ขวบ พร้อมกับปลูกฝังแรงบันดาลใจ การดึงพลัง เสริมทักษะในการใช้ชีวิต |
ขอแนะนำให้ครูของครูในโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น อ่านหนังสือทั้งสองเล่มนี้ และนำมาปรับใช้ในการหาครูดีในโรงเรียน ที่มีแรงบันดาลใจสูง มีความมุ่งมั่นในการทำหน้าที่ครูเพื่อศิษย์ สำหรับเชื้อเชิญเป็นโค้ชให้แก่นักศึกษาครูในโครงการ การผลิตครูร่วมกับครู มีประเด็นสำคัญดังนี้
|
สถาบันผลิตครู
ต้องผลิตครูอย่างมีเป้าหมายชัดเจน ว่ามุ่งสร้างครูที่มีความสามารถแบบไหน เหมาะกับบริบทแวดล้อมแบบไหน ผลกระทบของสถาบันผลิตครูต่อสังคมมีมากมายหลายด้านได้แก่
|
สรุป การผลิตครูสู่เป้าหมาย · ต้องพัฒนาศิษย์ทุกคน ครบด้าน เรียนรู้สู่ระดับลึก และเชื่อมโยง · เปี่ยมวิญญาณครู ทุกคนมีจิตวิญญาณกระตือรือร้นในการทำหน้าที่ครู · มีความรู้วิชา ทักษะครู และความเป็นมนุษย์ เคารพสิทธิขั้นพื้นฐาน เข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน · ครูรัก(ษ์)ถิ่น มีวิญญาณและทักษะนักพัฒนาชุมชน · นักร่วมมือสิบทิศ ให้ความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายอื่น เพราะความรู้ที่เรามีกับความรู้ที่ท่านอื่นมี ไม่เหมือนกัน หากพึ่งพาอาศัยร่วมแรงร่วมใจกัน ก็จะช่วยทำงานที่ยากให้สำเร็จได้ · มีเป้าหมายชีวิตที่สูงส่ง อุดมการณ์ครู การวางเป้าหมายในอาชีพครูไว้เพื่อเป็นจุดมุ่งมั่นในการพัฒนาทั้งตนเองและนักเรียน · ในที่นี้เราคุยกันด้วยภาษาที่เรียบง่าย คล้ายว่าจะทำได้สำเร็จไม่ยาก แต่ถนนแห่งชีวิตจริงไม่ได้ราบเรียบ มีหลุมพรางที่เรามองไม่เห็นมากมาย เราเองต้องช่วยกันประคองไม่ให้ทั้งตัวเราและลูกศิษย์ตกหลุมพรางเหล่านั้น และนี่ก็เป็นอีกความท้าทายของการผลิตครูในปัจจุบัน |
ผมนำเสนอเรื่องทำอย่างไรให้การผลิตครูไปสู่เป้าหมาย ไม่ใช่การแข่งขันแย่งชิงผู้เรียน โดยแปลงเป็นหัวข้อที่มีนัยยะเชิงบวก คือ ผลิตครูสู่เป้าหมายสูงส่ง โดยเสนอทั้งเป้าหมายสูงส่ง และแนวทางบรรลุเป้าหมายนั้น ภายใต้แนวคิดว่า ภารกิจการสร้างครูที่ดีมีความซับซ้อน ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ต้องยึดเป้าหมายให้มั่น แล้วบากบั่นทำไปเรียนรู้ไปปรับปรุงไป ผมเชื่อว่าสถาบันผลิตครูไทยที่ กสศ. เลือกสรรแล้วสามารถทำได้ และขอเป็นกำลังใจให้แก่ “สถาบันผลิตครูเพื่อศิษย์”
........................................
ไม่มีความเห็น