ในการประชุมคณะกรรมการบริหาร กสศ. เมื่อบ่ายวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ มีคนกล่าวว่า การเป็น catalyst for change ให้แก่หน่วยราชการ เป็นงานที่ยากมาก
ทำให้หวนคิดถึงงานของมูลนิธิสยามกัมมาจล ที่ดำเนินการมาสิบกว่าปี ภายใต้เป้าพัฒนาเด็กและเยาวชน เน้นพัฒนาบุคลิก โดยมุ่งทำงานเป็น catalyst ซึ่งมองมุมหนึ่ง ได้รับความสำเร็จสูงมาก สร้างการเรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาเด็กและเยาวชนได้ดีเยี่ยม เป็นที่ยอมรับนับถือ
แต่ท่านประธานมูลนิธิท่านปัจจุบัน คือ ดร. วิชิต สุรพงษ์ชัย มองว่า ไม่ประสบความสำเร็จในการทำหน้าที่เป็น catalyst for change เพราะเขยื้อนกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงอื่นที่มีหน้าที่โดยตรง เช่น พม. แทบไม่ได้เลย ซึ่งเป็นความจริง ท่านจึงไม่ต้องการให้มูลนิธิสยามกัมมาจลทำงานแบบเดิมอีกต่อไป คือยอมแพ้ต่อเป้าหมายขับเคลื่อนระบบการศึกษา ต้องการหันไปทำงานที่สร้างการเปลี่ยนแปลง หรือสร้างผลลัพธ์ได้เอง ไม่ใช่สร้างการเปลี่ยนแปลงผ่านกลไกเชิงระบบ
ความจริง และความเชื่อเช่นนี้ สะท้อนภาพปัญหาของระบบราชการ ที่อยู่ในสภาพ “ดื้อต่อการเปลี่ยนแปลง” คือยึดติดสภาพการทำงานแบบเดิมๆ
ผมมุ่งทำงานเป็น catalyst for change มาตลอดชีวิต และพอใจในชีวิตของตน จึงลองตีความความเข้าใจของผมต่อระบบราชการ และความเปลี่ยนแปลงในระบบราชการในช่วงชีวิตที่ผมพอจะรับรู้ในช่วงเวลาราวๆ ๖๐ ปี
ผมมองว่า ระบบราชการถดถอยลงในด้านสมรรถนะของข้าราชการ และทำงานยึดกฎหมายหรือกฎระเบียบรุนแรงขึ้น ใช้ความริเริ่มสร้างสรรค์น้อยลง ซึ่งสวนทางกันกับความเป็นจริงแห่งยุคสมัย ทำให้คนเก่งๆ ไม่มุ่งรับราชการ มุ่งไปทำงานเอกชนที่มุ่งใช้ความสามารถในการสร้างสรรค์สูง และมีความเสี่ยงสูงด้วย ในหลายกรณี การพัฒนาประเทศจึงมีราชการเป็นคอขวด
การออกกฎระเบียบเคร่งครัดมักมีเป้าหมาย หรือข้ออ้าง ลดการโกงกิน แต่ในความเป็นจริง การโกงกินในราชการไทยไม่ลดลงเลย เราเห็นอาการปากว่าตาขยิบในนักการเมืองและผู้บริหารระดับสูง เราเห็นคนไม่ค่อยสะอาดอยู่ใน ครม. เราเห็นการหลีกเลี่ยงกฎหมาย ที่เป็นข่าวดังอย่างกรณีทายาทกระทิงแดงเป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็ง (และอาจเงียบหายไปอีก)
ผมได้มีโอกาสเห็นการทำงานของข้าราชการระดับสูง ที่มองดูห่างๆ ก็รู้ ว่าเขาทำเพื่อให้ตนเองได้ก้าวสู่ตำแหน่งสูง มากกว่าทำเพื่อให้งานดี และเขาก็ทำได้สำเร็จ เพราะที่เขาทำมันเอื้อต่อผู้มีอำนาจแต่งตั้ง
แต่ผมไม่รู้ ว่าในระบบราชการระดับสูง ส่วนเน่ากับส่วนดี อันไหนมากกว่า ผมเดาว่าส่วนดีน่าจะมากกว่าหลายเท่า มิฉะนั้นบ้านเมืองคงจะพินาศไปแล้ว
หันมามองที่โอกาสในชีวิตของบุคคล สำหรับคนส่วนใหญ่ การได้เข้าเป็นข้าราชการเป็นความมั่นคงของชีวิต ซึ่งก็น่าจะจริง แต่มองอีกมุมหนึ่ง การเข้าเป็นข้าราชการอาจเป็นการเข้าสู่จุดอับของชีวิตก็ได้ คือเข้าไปในวงการที่ไม่เอื้อให้คนกล้าคิดนอกกรอบ ไม่เอื้อต่อการใช้พลังสร้างสรรค์ ที่มนุษย์ทุกคนมี การเป็นข้าราชการจึงอาจเป็นเส้นทางที่ปิด ไม่เปิดกาสให้แก่ตนเอง
โอกาสกับความยากลำบากเป็นของคู่กัน คนที่เข้าสู่ชีวิตราชการเพราะต้องการความมั่นคง ก็ได้ความมั่นคง ซึ่งต้องแลกกับโอกาสทำงานสร้างสรรค์ และโอกาสพัฒนาความสร้างสรรค์ของตนเอง
ที่จริงผมทำงานราชการมาค่อนชีวิตการทำงานของตนเอง คือเป็นข้าราชการระหว่างอายุ ๒๖ ถึง ๕๕ แต่ก็เป็นชีวิตข้าราชการมหาวิทยาลัย ซึ่งแตกต่างจากข้าราชการสายอื่น เรามีโอกาสทำงานสร้างสรรค์ได้มาก ทั้งในงานวิชาการ และงานบริหาร แต่ในช่วงเวลาประมาณสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ทหารมีอำนาจการเมือง ระบบราชการแข็งตัวขึ้นมาก หน่วยงานของรัฐที่ตั้งขึ้นมาให้ทำงานอย่างคล่องตัว เพื่อให้ทำงานสร้างสรรค์วิชาการให้แก่บ้านเมืองก็ถูกจับเข้ากรอบราชการ ยิ่งทำให้ระบบราชการล้าหลังยิ่งขึ้น
ที่น่าเสียดายคือ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่สมัยก่อนมีจำนวนมากที่ทำงานเพื่อบ้านเมืองส่วนรวม ในสมัยนี้รู้สึกว่ามีสัดส่วนน้อยลง ยิ่งข้าราชการผู้ใหญ่ที่ทำงานเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่บ้านเมืองจริงๆ มีน้อยลงมาก มักพบแต่คนที่ทำเพื่อรักษาตำแหน่งหรือเพื่อไต่เต้า
ไม่ทราบว่าผมมองโลกราชการในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่า
ผมคิดทบทวนกับตัวเองเพื่อรู้เท่าทันโลกและบุคคล ให้ตนเองไม่หลงโดนใช้เป็นเครื่องมือ เพื่อการสร้างภาพของนักการเมืองและข้าราชการผู้ใหญ่ที่ไม่มีความบริสุทธิ์ใจต่อบ้านเมือง ผมแก่แล้ว ควรใช้เวลาที่เหลือน้อยให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม
เพิ่มเติม ๙ มกราคม ๒๕๖๔
ค่ำวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๔ ผมไปงานสวดพระอภิธรรมศพคุณพ่อของคุณหมอก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ ได้มีโอกาสคุยกับ ดร. สมชัย ไทยสงวนวรกุล ประธานบริษัท SNC Former Plc Ltd ท่านทำงานพัฒนาการศึกษาด้านอาชีวศึกษามานานกว่า ๒๐ ปี ผมจึงได้เรียนรู้ประสบการณ์จากท่าน และได้ข้อมูลยืนยันว่า ไม่สามารถเข้าไปเปลี่ยนระบบใหญ่ของกระทรวงศึกษาธิการได้ เพราะมีผลประโยชน์สีเทาเกี่ยวข้องซับซ้อนมาก ฟังที่ท่านเล่าแล้วผมรู้สึกสยดสยองสะอิดสะเอียนมาก ท่านสรุปว่าหากจะร่วมมือกับวิทยาลัยอาชีวะหรือเทคนิค ต้องมีข้อตกลงตามที่เรากำหนดและหากเขาจะเชิญ รมต. หรือผู้ใหญ่ในกระทรวงมาเปิดโครงการ อย่ายอมตาม และบอกว่า คนจบ ปวส. ที่มาจาก ม. ๖ มักจะไม่มีทักษะในการทำงาน ต้องเรียน ปวช. ต่อ ปวส. จึงจะมีทักษะตรงความต้องการ
วิจารณ์ พานิช
๒๕ ธ.ค. ๖๓ เพิ่มเติม ๙ ม.ค. ๖๔
ไม่มีความเห็น