ขณะนั่งรับประทานอาหารเที่ยงด้วยกันวันนี้ ตามประสา "คนเค็ม" ต้องหาน้ำปลา เอ๊ย ! สุนทรียสนทนาไปเรื่อย ได้เรื่องบ้างไม่ได้เรื่องบ้าง คุยไปคุยมาพาลไปเรื่องการเดินทางได้ไงก็ไม่รู้ เปรียบเทียบการนั่งเครื่องบินเหมือนกันการนั่งรถทัวร์หรือนั่งรถเมล์สมัยนี้
พี่เอ๋ แฟนพี่พินิจ(หัวหน้าทีมสลายกลิ่น)บอกว่า : นั่งเครื่องบินดีอย่างเดียวคือเร็วใช้เวลาน้อย
ผู้เขียนอดแย้งไปไม่ได้ว่า ไม่ชอบนั่งเครื่องบินเลย ถึงก็เร็ว ทั้ง ๆ ที่จ่ายก็แพง นั่งไม่คุ้มเงิน ผิดกับนั่งรถทัวร์ถูกกว่าแถมยังได้นั่งนานคุ้มดี
(ความคิดไม่เหมือนชาวบ้านเขาอีกแล้ว ไม่รู้ผิดหรือถูก นอกเรื่องจากที่ตั้งใจเขียนไปหน่อย เข้าเรื่องที่อยากเขียนสักกะทีดีกว่า)
พวกเราทำงานบนห้องศพ ก็เห็นคนมารับศพกันเป็นประจำหรือธรรมดาไปซะแล้ว แต่วันนี้ก็ได้รับข่าวเศร้าว่าครูที่โดนยิงจากเหตุการณ์3 จังหวัด เสียชีวิตแล้ว ซึ่งเป็นพี่สาวของพี่ที่มาทำงานห้อง OPD เจาะเลือด และไม่กี่วันที่ผ่านมาครูที่เสียชีวิตนี้ก็เพิ่งพาแม่มาหาหมอที่ OPD เจาะเลือดนี่เอง (ทราบจากพี่กลิ่น)
ผู้เขียนก็รู้ดีค่ะว่าไม่มีใครหลีกหนีความตายเราได้พ้น จึงมักคิดเสมอว่าช่วงที่มีชีวิตอยู่ก็พยายามอย่าทุกข์ หาความสุขให้มากก็แล้วกัน ...
ผู้เขียนมักพูดและคิดแบบนี้บ่อย ๆ ใครอยากทำอะไรก็ทำเถอะ ถ้าสิ่งนั้นทำแล้วมีความสุข ทำได้ และพึงทำ ไม่เสียหาย ไม่เป็นโทษและอันตรายแก่ตัวเองและผู้อื่น
เอ๊ะ ! ทำไมผู้เขียนจึงคิดเช่นนี้ ??
ไม่ใช่อื่นไกลมาจากคุณแม่ของผู้เขียนเองค่ะ เธอจะให้ความสุขกับตัวเองอย่างเต็มที่ทั้งเรื่องกิน เรื่องซื้อของใช้เท่าที่จำเป็นแต่ใช่ว่าฟุ่มเฟือย ถ้าสิ่งนั้นดีมีประโยชน์กับตัวเองทำให้สบายตัวสบายกายและสบายใจ เธอจะไม่ลังเลในการใช้จ่ายเพื่ออำนวยความสะดวกของเธอเลย (ซึ่งก็ทำให้ผู้เขียนพลอยได้รับอานิสงค์กินดีอยู่ดีไปด้วย เพราะบางอย่างผู้เขียนจะไม่ยอมซื้อ)
จำได้สมัยก่อนคุณแม่ผู้เขียนเป็นคนประหยัดมากแต่ไม่มากที่สุด อาจเป็นเพราะช่วงแรกชีวิตก็ไม่ได้สบายมากนักค่อนข้างลำบาก แต่ด้วยความที่เธอเป็นคนขยัน (ทำสวนยางพารา) เก็บหอมรอมริบ เล่นแชร์บ้าง สุดท้ายก็มีเงินให้คนอื่นหยิบยืม แต่ก็โดนโกงจนหมด จนเธอต้องหันมาค้าขาย ล้มลุกคลุกคลาน จนเติบโตและพอจะสบายอยู่ทุกวันนี้
ช่วงที่มีเงินให้คนหยิบยืม แม่ผู้เขียนจะประหยัดมาก แต่คนที่ยืมไปกลับหาซื้อความสบายให้กับตัวเอง หลังจากเธอค้าขายประสบความสำเร็จ เธอก็คิดหาความสุขและสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับตัวเองอย่างเต็มที่
เธอยังสอนพวกเราอีกด้วยว่า หากไม่ลำบากจนเกินไป และพอจะหาสิ่งที่ดีให้กับตัวเองได้ก็ทำเลย อยากกินอะไรก็กิน เพราะหากตายไป แม้ใครจะมาเคาะฝาโลง ปลุกให้ลุกขึ้นมากิน ก็ไม่สามารถจะลุกขึ้นมาได้อีก
จริงด้วยแฮะ ตั้งแต่นั้นก็เป็นคำพูดติดหู ติดใจและติดตัวผู้เขียนมาโดยตลอด
เห็นด้วยกับคุณศิริ ค่ะ เพราะดิฉัน มักถูกสามีพูดประโยคเดียวกันนี้ให้ฟังบ่อย ๆ คือ อยากทำอะไรก็ทำ อยากกินอะไรก็กิน จนบางครั้งดิฉัน ก็อยากจะบอกเขาว่า ถ้าเขาอยากจะไปทีชอบที่ชอบ ก็ให้ไปในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เถอะ เพราะหากตายไป คงหมดโอกาสไปที่ชอบที่ชอบแล้ว (รึคุณไมโต ว่าไงค่ะ)
อยากรู้จังค่ะ แล้วที่ชอบ ๆ ที่ชอบของสามีคุณรัตติยาคือที่ไหนเอ่ย ?
ผู้เขียนเพิ่งไปเที่ยวกรุงชิงมาค่ะ ตอนนี้เหนื่อยและเมื่อย(ล้า)มาก แต่ก็ยังอยากเขียนบันทึกค่ะ
คุณรัตติยาค๊ะ เหมียนกันเปี๊ยบเลยค่ะ หรือจะไม่พกพาภรรยาไปแต่ต้องพกลูกไปด้วยค่ะ
คุณไมโตค๊ะ ผู้เขียนก็ชอบค่ะนอนอยู่กับบ้าน กินให้อิ่มนอนให้อืดกันไปทั้งครอบครัว หรือจะเที่ยวใกล้ๆ ก็ชอบเหมือนกันแต่ไกล ๆ เนี่ยทั้งเข็ดทั้งหลาบ ต้องรอให้เด็ก ๆ โตกันก่อน คราวก่อนไปเชียงใหม่กันทั้งครอบครัวเกือบจะเลี้ยวรถกลับตั้งแต่รัตภูมิแล้ว เพราะเจ้าสองตัวมันเล่นต่อยมวยกันไปตลอดทาง