เรียนรู้จากการเป็นกรรมการพิจารณาตัดสินรางวัล (1)
9 - 11 พ.ย.48 มีการประชุมคณะกรรมการรางวัลนานาชาติ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ ซึ่งมีการประชุมกันปีละครั้ง ปีนี้พิเศษตรงที่กรรมการมาประชุมครบทั้ง 12 คน กรรมการเป็นคนไทย 4 คน คือ ศ. นพ. อารี วัลยะเสวี, ศ. นพ. วิศิษฏ์ สิตปรีชา, ศ. นพ. ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ และผม เป็นคนอเมริกัน 3 คนคือ Prof. Joshua Lederberg (ผู้ได้รับรางวัลโนเบล), Prof. Nevin Scrimshaw (ผู้ได้รับรางวัล World Food Prize ใกล้เคียงรางวัลโนเบล), และ Prof. Donald Henderson 3 ท่านนี้เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้าน Life Science, Nutrition และ Epidemiology ตามลำดับ มาจาก Rockefeller Univ, MIT และ Johns Hopkins Univ. ตามลำดับ มาจากประเทศไนจีเรีย 1 คนคือ Prof. Adetokunbo Lucas เป็นผู้เชียวชาญด้าน Public Health มาจากออสเตรเลีย 1 คนคือ Prof. Sir Gustav Nossal เชี่ยวชาญด้าน Immunology จากอังกฤษ 1 คนคือ Prof. Sir David Weatherall เชี่ยวชาญด้าน Hematology และ Genetic Medicine จากเยอรมัน 1 คนคือ Prof. Bert Sakmann จาก Max Planck Institute, Heidelberg เชี่ยวชาญด้าน Cell Physiology (ได้รับรางวัลโนเบล) และจากญี่ปุ่น 1 คนคือ Prof. Tadamitsu Kishimoto จากมหาวิทยาลัยโอซาก้า เชี่ยวชาญด้าน Immunology (Interleukins)
จะเห็นว่าผู้ใหญ่ที่ร่วมกันรับผิดชอบคุณภาพและเกียรติอันสูงส่งของรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ ได้ร่วมกันสรรหาและเชื้อเชิญนักวิชาการ/วิจัย/สาธารณสุข ระดับยอดของโลกมาร่วมเป็นกรรมการ โดยให้มีการกระจายและดุลยภาพด้าน Geographical distribution, และ area of expertise distribution
กรรมการเหล่านี้ทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนใด ๆ เลย แต่ผู้ที่อยู่ต่างประเทศจะได้รับตั๋วเครื่องบินชั้น 1 ของการบินไทยพร้อมภรรยา และจัดให้มาพักที่โรงแรมโอเรียนเตล และระหว่างการประชุมมูลนิธิฯ จะจัด Lady's Program ไปทัวร์, shopping และเลี้ยงอาหาร โดยมูลนิธิฯ จ่ายค่ารับรองทั้งหมด เมื่อผมมารับหน้าที่ประธานหลังจากมรณกรรมของท่านประธานท่านแรกคือ ศ. นพ. ณัฐ ภมรประวัติ ภรรยาของผม ศ. พญ. อมรา พานิช จึงต้องลางานมาทำหน้าที่เป็น tourist ร่วมกับภรรยากรรมการทั้งหลายการตอบแทนที่ดึงดูดใจและทุกคนรอคอยคือ การพาไปทัวร์หลังจากคณะกรรมการประชุมเสร็จ อย่างปีนี้จะพาไปทัวร์ภูเก็ต วันที่ 12 - 14 พ.ย.48 โดยที่ความพิเศษของทัวร์นี้คือ องค์ประธานมูลนิธิฯ คือ สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ เสด็จนำคณะกรรมการที่เป็นชาวต่างประเทศไปทัวร์ด้วยพระองค์เอง เป็นที่ชื่นใจของกรรมการชาวต่างประเทศเป็นอันมาก และทำให้กรรมการที่เป็นคนไทยและผู้ทำงานให้มูลนิธิฯ ในฐานะอื่นพลอยตามเสด็จไปด้วย ผมเองเคยตามเสด็จไปหลวงพระบางในปีหนึ่ง ปีถัดมาไปสุโขทัย - ศรีสัชนาลัย และปีที่แล้วไปเชียงใหม่
ภรรยากรรมการชมพระที่นั่งอนันต์ ในพระที่นั่งอนันต์
Prof. Sakmann มีประสบการณ์ทำงานให้มูลนิธิรางวัลโนเบลในการประเมินผู้ได้รับการเสนอชื่อ ท่านบอกว่าเป็นภาระที่หนักมาก ต้องอ่านมาก และอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ ดังนั้นมูลนิธิรางวัลโนเบลจึงจ่ายค่าตอบแทนเป็นเงินและจ่ายในอัตราที่สูงมาก ท่านแปลกใจมากที่คณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิชาการ (Scientific Advisory Committee - SAC) ซึ่งเป็นกรรมการคนไทยทั้งหมด รวม 15 คน ซึ่งทำงานกลั่นกรองใบเสนอชื่อ และงานพิจารณาผลการค้นหาผลงานเด่น ไม่ได้เงินตอบแทนเลย เราตอบท่านว่านักวิชาการไทยที่เป็น SAC ทำงานด้วยใจ ด้วยความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และต่อองค์ประธานมูลนิธิฯ คือสมเด็จพระเทพรัตน์ฯ ทุกคนรู้สึกว่าความอิ่มใจ ภูมิใจ ที่ได้สนองพระเดชพระคุณคือ การตอบแทนที่ล้ำค่าหรือหาค่ามิได้ เข้าใจว่าฝรั่งเขาคงรู้สึกงง ๆ เพราะเขาไม่มีวัฒนธรรมนี้ คนไทยเราควรภูมิใจและเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมนี้ เห็นคุณค่าของ "ทุนทางสังคม" ของเราที่ชาติอื่นไม่มี
วิจารณ์ พานิช
10 พ.ย.48
หนูชอบคำว่า " ทุนทางสังคม" มากค่ะ
มันเหมาะกันความเป็นคนไทยมากเลย