ช่วง2เดือนนี้มีน้องหมอจบใหม่มาทำงานหลายคนดูๆก็น่าจะเก่งแต่ทำไม ไม่ค่อยรู้เรื่องเวลาทำงาน ตอนนี้ผมได้เข้าใจแล้วว่าการมี Knowledge และการใช้ Knowledge มันช่างแตกต่างกันมากโดยสิ้นเชิงโดยเฉพาะที่เรียกว่า Tacit knowledge ในองค์กรผมก็มีการทำ KM นะแต่จริงแล้วผมเองไม่ค่อยรู้ว่า การถ่ายทอด Tacit knowledge เค้าทำกันอย่างไร
จะเล่าให้ฟังว่าพวกผม(พวกหมอๆเค้าถ่ายทอดกันแบบไหน) ที่เห็นชัดสุดคือตั้งแต่เช้าตอนมาเจอกันที่ห้องกาแฟก็จะมาเล่าสู่กันฟังว่าเมื่อวานเจออะไรมารักษาอะไร ผ่าตัดแบบไหน อันนี้ผมว่าดีมากเลยรับรองได้ความรู้ที่ไม่มีในหนังสือแน่อีกอย่างทำให้สร้างความสัมพันธ์ในที่ทำงาน สรุปจริงๆก็วิธี story telling นั้นแหละ อีกวิธี ทีเจอบ่อยในอาชีพผม คือการปฐมนิเทศน์งานแก่น้องใหม่ แต่ผมว่าแค่อันนี้ ไม่ work เพราะที่แล้วๆมานอกไม่บรรลุเป้าหมาย ผมว่าการจัดให้มีguideline หรือ คู่มือน่าจะดียิ่งขึ้นสรุปคล้ายเป็นแผนที่เบิกทาง อีกอย่างที่เห็นชัดคือ การทำให้ดูก่อน (สาธิต)
จริงๆในที่ทำงานผมวันๆหนึ่งมีความรู้กระจายเต็มไปหมดในที่ทำงานน่าจะเอามาเก็บรวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่ได้ ผมขอเสนออย่างเช่นจัดที่ทำงานเสียใหม่ให้รู้สึกว่าได้คุยกันมากขึ้นคือ ทำเป็น blog office เลย คือจัดที่ทำงานแบบไม่ fixed ตายตัวแต่นั่งทำงานบนโต๊ะใหญ่ร่วมกัน2-3คน ทุกคนคุยได้ face to face มีcomputerซึ่งตอนนี้ก็มีอยู่แล้วจะทำให้เกิด blog to blog รับรองผมคิดว่าคราวนี้workแน่สำหรับคำว่าองค์กรแห่งการเรียนรู้
วันก่อนมีงานเกษียณอายุราชการหัวหน้าผมคือ ท่านอาจารย์ หมอ ประเสริฐ วศินานุกร โดยท่านได้เขียนบทความไว้ในหนังสืออนุสรณ์ ยิ่งประทับใจมากเป็นการพูดถึงชีวิตของศัลยแพทย์ (Life of a surgeon) อีกทั้งพูดถึงคำว่า "ศิษย์ ต้องมีครู" ซึ่งทำให้ผมคิดได้เลยว่าใช่จริงๆเพราะตัวท่านได้ทำในจุดนั้น แต่สิ่งที่มีค่าและเป็นองค์ความรู้ที่ดีที่สุดที่ถ่ายทอดให้กับเราไม่ใช่จากตำราแต่คือ Tacit knowledge ที่ท่านถ่ายทอดให้กับพวกเราได้นำไปใช้ แม้แต่การเขียนหนังสือเรื่องดังกล่าวก็ถือได้ว่าเป็บการนำ Tacit ไปสู่ explicit ที่มีคุณค่าและการจัดเก็บไว้ให้ surgeon รุ่นหลังๆ ได้ศึกษาต่อไป
ไม่มีความเห็น