ทีมงานของสถาบันอาศรมศิลป์ มาขอสัมภาษณ์ และถอดเทปออกมาดังต่อไปนี้
การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง
ในทัศนะของ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช
ในแวดวงการศึกษาทั่วโลกนั้นมีการกล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้ที่เรียกว่า การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง มาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว โดยทฤษฎีการเรียนรู้ดังกล่าวเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งหมายให้ผู้เรียนรู้เกิดการตระหนักรู้อย่างลึกซึ้งด้วยการใคร่ครวญสะท้อนคิดต่อประสบการณ์ต่างๆ ของตนเอง อันจะทำให้ผู้เรียนรู้ได้มีความสามารถในการพัฒนาตัวตนจากภายในตนเองไปสู่การมีส่วนร่วมในการสร้างการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก
อย่างไรก็ดี การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นเรื่องใหม่ในแวดวงการศึกษาของประเทศไทย หลายปีที่ผ่านมา
ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช นายกสภาสถาบันอาศรมศิลป์ ได้กระตุ้นให้นักการศึกษาและผู้สนใจในการจัดกระบวนการเรียนรู้ตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการเรียนรู้ด้วยแนวคิดการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง โดยท่านได้แสดงทัศนะ เพื่ออธิบายถึงความหมาย วิธีปฏิบัติ และรายละเอียดอื่นๆ ที่น่าสนใจเพื่อให้เราได้เข้าถึง เข้าใจ และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตได้อย่างแท้จริง
การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงมีความหมายว่าอย่างไร การเปลี่ยนแปลงนั้นคือเปลี่ยนอะไร
ถ้าถามว่าเปลี่ยนอะไร คำตอบก็คือเปลี่ยนสองอย่าง ได้แก่ เปลี่ยนภายนอกกับเปลี่ยนภายใน เปลี่ยนภายนอกคือการเปลี่ยนโลก เปลี่ยนสังคม เปลี่ยนอนาคต ส่วนเปลี่ยนภายในคือการเปลี่ยนตัวเราเอง เปลี่ยนจิตใจของเรา เปลี่ยนความเชื่อ เปลี่ยนการยึดถือในคุณค่าของเรา การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงจึงเป็นการเรียนรู้ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งสองอย่างนั้น
การเรียนรู้ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายนอกและภายในอย่างไร
Transformative Learning เป็นการเตรียมคนเพื่อออกไปเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า Change Agent ซึ่งไม่ว่าเขาจะเข้าไปทำงานในองค์กรไหนก็จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างการเปลี่ยนแปลง เพราะมีความสามารถในการมองเห็นลู่ทางอยู่เสมอ โดยที่ไม่ใช่ทำอยู่คนเดียวแต่เป็นการทำร่วมกับคนอื่น อยู่ในชุมชนก็มีส่วนเปลี่ยนแปลงชุมชน อยู่ในบ้านเมืองก็มีส่วนเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง
การเปลี่ยนแปลงนั้นในหลักการ ก็คือ การเปลี่ยนอนาคต ถ้าคนจำนวนมากมีสมรรถนะด้านการเปลี่ยนแปลง (Transformative Compitencies) เป็นจำนวนที่มากพอสมควร อนาคตที่อาจจะไม่ค่อยดีนักก็สามารถเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นได้ ประเทศที่เขาเอาใจใส่เรื่องนี้มากเขาจะมีเป้าหมายเช่นนี้ ด้วยการเปลี่ยนเพื่อเป็นโลกที่ดีกว่า เพื่ออนาคตที่ดีกว่า ดีขึ้นทั้งในแง่ของส่วนรวมและของส่วนเรา เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่า Transformative Learning มีความสำคัญอย่างไร แต่โดยส่วนใหญ่แล้วระบบการศึกษาในประเทศไทยจะไปไม่ถึงจุดนั้น เหตุที่ไปไม่ถึงเพราะมีชุดความเชื่อเรื่องการเรียนรู้ที่เหมาะสำหรับ
ยุคโบราณ ไม่ใช่ชุดความเชื่อที่ว่าด้วยการเรียนรู้ที่เหมาะสำหรับการสร้างคนในยุคใหม่
การศึกษานั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ตายตัว ที่จริงแล้วคำที่ดีกว่าคำว่า ‘การศึกษา’ คือคำว่า ‘การเรียนรู้’ การเรียนรู้เป็นธรรมชาติของมนุษย์และเป็นที่รู้กันว่ายิ่งอายุน้อยเท่าไหร่การเรียนรู้ก็จะยิ่งสูง เด็กยิ่งเล็กการเรียนรู้จะสูงมาก
สูงอย่างไม่น่าเชื่อ พออายุมากขึ้นการเรียนรู้จะแผ่วลงเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงหรือ Transformative Learning จึงเป็นสิ่งที่ต้องการยิ่งสำหรับเด็กยุคปัจจุบันและโลกในอนาคต ในอดีตอาจไม่เอาใจใส่ในประเด็นนี้มากก็ยังไม่เป็นไรเพราะว่าโลกยังเปลี่ยนไม่เร็วนัก และในอดีตนั้นการศึกษายังมีเป้าหมายเพื่อสร้างคนเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมซึ่งเน้นให้คนทำงานเหมือนๆ กัน หรือทำตามสูตร แต่การทำงานในสมัยใหม่ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว คนทำงานต้องเป็นคนที่คิดใหม่ทำใหม่ เพราะฉะนั้นระบบการศึกษาต้องเปลี่ยนความเชื่ออย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งในบ้านเรายังเปลี่ยนไปไม่ถึงจุดที่ควร
การเรียนรู้สมัยใหม่ กับ การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง มีวิธีการเรียนรู้อย่างไร
การเรียนรู้แบบเก่าซึ่งระบบการศึกษาไทยยังใช้เป็นมาตรฐานอยู่ คือ เรียนตามความรู้ที่มีคนกำหนดว่าอะไรต้องเป็นแบบไหน ถ้าคุณตอบไม่ตรงก็ถือว่าผิดไม่ได้คะแนน แต่การเรียนรู้ที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้ที่แท้จริงต้องไม่ใช่การเรียนจากการไปจำใครเขาบอก เราต้องเรียนจากการค้นพบของตัวเอง โดยการปฏิบัติแล้วคิด ที่เรียกว่า Reflection การลงมือทำคือ Action เมื่อเรียนโดย Action ตามด้วย Reflection ก็เรียกว่า Active Learning ไม่ใช่ Passive Learning เพราะ Passive Learning คือการจำที่เขาบอก แต่ Active Learning คือการเรียนจากการคิด คิดเพื่อตั้งคำถามท้าทาย ไม่เชื่อ ตรวจสอบ
ที่สำคัญยิ่งอีกอย่างในการเรียนรู้สมัยใหม่คือต้องไม่เรียนคนเดียว ต้องเรียนเป็นทีมกับเพื่อนและต้องฟังเพื่อน เพราะว่าขั้นตอน Reflection ต้องคิดดังๆ เพื่อแลกเปลี่ยนกับคนอื่น เมื่อเราแชร์ความคิดแล้วครูต้องถามว่ามีใครคิดต่างจากนี้หรือไม่ จึงจะมีความคิดหลายๆ แบบเทลงไปตรงส่วนกลาง เด็กก็จะเห็นว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นเป็นหนึ่งในหลายๆ ความคิดเท่านั้นเอง เท่ากับว่าเขาก็จะฟังคนอื่นเป็น
ดังนั้น การ Reflection และแลกปเลี่ยนร่วมกับผู้อื่นจะทำให้มี Collaborative Skill ทักษะในการร่วมมือกับคนอื่น รวมถึงทักษะในการสร้างสรรค์ (Creativity) ด้วย เพราะว่าต้องตั้งคำถามอยู่เสมอ หาวิธีใหม่ คิดนอกกรอบ เป็นการฝึกพัฒนาความสร้างสรรค์ เมื่อต้องฟังหลายๆ คำตอบ หลายๆ ความคิดก็เกิด Critical Thinking คือการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ไม่เชื่อง่าย
จะเห็นว่าสมรรถนะสำคัญๆ สำหรับคนยุคใหม่ได้จากการเรียนรู้แบบธรรมชาติคือการปฏิบัติและคิด เกิดเป็นทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life Long Learning Skill) เปลี่ยนวิธีการเรียนรู้จาก Passive เป็น Active แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าครูจะชวนเด็กสร้างบรรยากาศการเรียนรู้อย่างไร หาโจทย์อะไรมาทำ กระตุ้นความใคร่รู้ความสนุกของเด็กอย่างไร ก็ ครูที่เป็นครูที่แท้และมีทักษะ มีความรู้ มีความเข้าใจจะสามารถยกระดับคุณภาพของเด็กให้สูงขึ้นได้มาก เพราะครูจะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการช่วยตั้งคำถามกระตุ้นเพื่อโยงเข้าสู่ชีวิตจริง เด็กจะเชื่อมโยงได้ว่าสิ่งที่เขาเรียนอยู่นั้นมีความหมายอย่างไรกับชีวิตของเขาในอนาคต
นั่นความหมายว่า การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง ไม่ได้จำกัดอยู่ในวงการวิชาการหรือแวดวงการศึกษาเท่านั้น
การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงคือชีวิตจริงของคนเรา ชีวิตจริงมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สังคมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ยิ่งยุคนี้ยิ่งเปลี่ยนเร็วมาก เมื่อปลายเดือนกันยายน พ.ศ.2562 ผมได้เดินทางไปประชุมเรื่องการศึกษาจัดโดย Organization for Economic Cooperation and Development (OECD) ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในการประชุมสองวันนั้น มีคนถามท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของออสเตรเลียซึ่งเป็นผู้หญิงว่า ครูจะต้อง transform อย่างไร คำตอบของท่านทำให้ผมฉุกคิดมากว่า ครูมีการ transform อยู่แล้วทุกวันจากการทำงาน เพราะครูต้องปฏิบัติและคิด ซึ่งทำให้เกิดการ transform เป็นจุดเล็กๆ สอดคล้องกับความจริงที่ว่า คนเรา transform ตลอดเวลา ถ้าเราใช้ชีวิตเป็น และมีชุดความคิดที่ถูกต้อง
ชุดความคิดที่เกี่ยวกับเรื่องนี้มากที่สุด ก็คือ ชุดความคิดที่เรียกว่า Growth Mindset ซึ่งเป็นชุดความคิดที่ว่าด้วยเรื่องการเจริญเติบโตก้าวหน้า ซึ่งตรงกันข้ามกับ Fixed Mindset ซึ่งเป็นชุดความคิดที่บอกว่าเมื่อฉันเกิดมาไม่ถนัดเรื่องนี้แล้วก็เชื่อว่าตัวเองไม่ถนัดเรื่องเรื่องนี้ไม่เกิดการขวนขวายในการพัฒนาตนเอง แต่ Growth Mindset คือชุดความคิดที่เรารู้ว่าเราอ่อนแอเรื่องนี้แต่เราฝึกได้ หรือเราเก่งเรื่องนี้แต่เก่งกว่านี้ได้ เราเก่งเรื่องนี้ แต่บางมิติเรายังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็เติมความสามารถบางอย่างเข้าไปอีก นี่คือ Growth Mindset ที่เชื่อมโยงกับ transformative learning ซึ่งเชื่อมโยงจนเกือบจะเป็นเรื่องเดียวกันก็ว่าได้ เพียงแต่ Mindset คือชุดความคิด Transformative คือวิธีการเรียน
จากการประชุม OECD ผมพบว่ามีคำหนึ่งที่สะกิดใจผม ทำให้ผมกลับมาค้นคว้าต่อ คือคำว่า Transformative Competencies แปลว่า สมรรถนะในการเปลี่ยนแปลง โดยเขาบอกว่านักเรียนต้องได้รับการพัฒนา Transformative Competencies เพื่อสร้างสมรรถนะให้เด็กเติบโตขึ้นไปสร้างความเปลี่ยนแปลงหรือเป็น Change Agent และในขณะเดียวกันก็เปลี่ยนแปลงตัวเองด้วย เป้าหมายจึงมีทั้งการเปลี่ยนแปลงในระดับ micro คือตนเอง และ macro คือเปลี่ยนแปลงสังคม เป็นการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันและเปลี่ยนแปลงในอนาคต
OECD ได้มีการรวบรวมองค์ความรู้ว่าด้วยการสร้าง Transformative Competencies ให้กับนักเรียน เอาไว้ว่าปัจจัยที่ทำให้เกิด Transformative Competencies ประกอบด้วย 3 อย่าง คือ หนึ่ง – การเปลี่ยนคุณค่าหรือ Value Change หมายความว่ากล้าที่จะคิดในเชิงหลักการเรื่องคุณค่าในรูปแบบใหม่ๆ (Think Outside the Box) กล้าที่จะท้าทายคุณค่าเก่าๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณค่าเก่านั้นผิดนะครับ เพียงแต่ต้องกล้าที่จะท้าทาย กล้าที่จะนำเสนอสิ่งใหม่ กล้าที่จะคิดใหม่แล้วเอาไปลองทำ จากนั้นเอาผลกลับมาคิด หน้าที่ของครูคือการสร้างสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ (Learning Environment) ที่ต้อง เปิดโอกาสให้คนสามารถเสนอความคิดที่ใหม่ๆ ได้ และเปิดช่องให้ทดลองทำด้วย แต่สิ่งสำคัญคือไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ใครก็ตามเสนอคุณค่าที่อยู่ตรงกันข้ามกับคุณค่าเดิมที่เคยยึดถือกันมาจะเกิดสภาพขัดแย้งหรือมีแรงต้านสารพัดรูปแบบ ทั้งเยาะเย้ย โกรธ หรือหาว่าเป็นการลบหลู่ เกิดเป็นสภาพที่ต้องทน ดังนั้น จึงต้องทำให้ผู้ที่จะมี Transformative Competencies สามารถอยู่ในสภาพนี้ให้ได้ คืออยู่กับความขัดแย้งความไม่ชัดเจนได้ในระดับหนึ่ง ถ้าเขาเป็นเด็กในห้องเรียนครูจะต้องเข้าใจในประเด็นนี้และต้องหาทางในการสร้างบรรยากาศให้สภาพความรู้สึกนี้อยู่ได้เพื่อให้เด็กได้เผชิญกับสภาพจริง เพราะว่าต่อไปในอนาคตเขาจะต้องเจอสภาพที่แรงกว่านั้น เท่ากับว่าเขาจะได้เจอกับสภาพจำลองของชีวิตจริงในห้องเรียนแล้วเขาจะได้เรียนรู้ว่า
เขาสามารถพูดคำไหนได้ พูดคำไหนไม่ได้ คำนี้มีความหมายเดียวกัน แต่ท้าทายผู้อื่นน้อยกว่า นี่คือการเรียนรู้การมีปฏิสัมพันธ์ ซึ่งหลายครั้งเด็กจะได้เรียนรู้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่สามารถอธิบายให้ฟังได้ และเขาก็จะเกิด Competencies ไปในตัว
ท่านที่สนใจ Transformative Competencies ของ OECD อ่านได้ที่ (๑)
วิจารณ์ พานิช
๒๔ พ.ค. ๖๓
ไม่มีความเห็น