โชเปนฮาวเออร์ (Arthur Schopenhauer)
นักปรัชญาเยอรมันแห่งศตวรรษที่19ที่ว่าด้วยเจตจำนงค์ในฐานะของสิ่งที่เป็นจริงในตัวเอง
(Will-in-itself) ดังตัวอย่างที่อาจยกมาเปรียบเทียบได้ดังเช่น
พระผู้เป็นเจ้าแห่งศาสนาคริสต์ พรหมมันหรืออาตมันของพวกฮินดู
หรือพระนิพพานของพุทธศาสนา อันมีอยู่นอกกาล-อวกาศ (space-time)
ที่มิอาจหยั่งถึงได้ด้วยมลฑณแห่งความเข้าใจหรือความรับรู้ของมนุษย์
อย่างไรก็ดีเจตจำนงดังว่านี้ได้สำแดงตนออกมาในเชิงปรากฏการณ์ธรรมชาติที่รับรู้และสัมผัสได้
ราวกับว่าเป็นโลกที่สร้างขึ้นและกำหนดขึ้นให้ดำเนินไปโดยพระผู้เป็นเจ้า
โดยแสดงออกมาทั้งในรูปของความเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว (totality)
ของโลกแห่งกายภาพ( physical universe) และในรูปของความต้องการที่จะมีอยู่(
the will to exist)
อีกทั้งรวมไปถึงการกระทำเพื่อดิ้นรนให้เกิดพัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งตามแต่บริบทชีวิตจะพาไป
โชเปนฮาวเออร์นั้นเป็นผู้ที่มีความหยั่งรู้ (อัชฌัตติกญาณ)
และความลึกซึ้งในทางอารมณ์มากกว่านักปรัชญาคนอื่นๆ
และเขาได้ทำการสถาปนาสิ่งที่เขาใคร่ครวญออกมาเป็นหลักเหตุผลที่เพียงพอสี่ประการ
ยิ่งไปกว่านั้นโชเปนฮาวเออร์ได้ยืนกรานต้านคำสอนบางจุดของอิมมานูเอล
ค้านท์ ที่เขาได้ศึกษามาเป็นอย่างดี
ว่าด้วยอภิปรัชญา/ความจริงสูงสุด/สิ่งที่เป็นจริงในตัวเองไม่สามารถถูกรับรู้ได้ด้วยความรู้ที่มีอยู่ก่อนประสบการณ์หรือด้วยสติปัญญาของมนุษย์เพียงเท่านั้น
แต่เขายืนกรานว่าร่างกายของมนุษย์นี้แหละคือประสบการณ์จากการแสดงออกของเจตจำนงค์โดยตรงต่อปัจเจกบุคคลใดๆ(เป็นอัตวิสัย
และเป็นปัจจัตตัง) ซึ่งประเด็นนี้จะเป็นกุญแจไปสู่อภิปรัชญาได้
จะเป็นการเปิดม่านแห่งภาพมายาของชีวิตเพื่อคลี่คลายแก่นแท้ของสัจจะออกมา
โชเปนฮาวเออร์อธิบายว่าสิ่งที่คนเราเรียกว่าการกระทำ/กิริยา/การแสดงออก
นั้นคือ เจตจำนงค์ที่ถูกมองจากมุมมองของด้านนอก (external aspect)
โดยที่ทั้งการกระทำกับเจตจำนงค์นั้นเป็นสิ่งเดียวกันและเป็นหนึ่งเดียว
ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของการประสานงานกันของอวัยวะในร่างกายมนุษย์
คือเจตจำนงค์ที่ถูกรับรู้ได้(เจตจำนงค์ในฐานะของสิ่งที่เป็นจริงในตัวเองที่เป็นนามธรรม
ถูกสำแดงให้รับรู้ในโลกปรากฏการณ์ได้ออกมาเป็นร่างกายมนุษย์ กล่าวได้ว่า
เป็นเจตจำนงคค์อันกลายเป็นภาพแสดงแทน(representation)
อีกทั้งถูกแปรรูปให้เป็นสิ่งที่รู้และสัมผัสได้(“translated into
perception.”)
ผลพวงอย่างหนึ่งจากหลักปรัชญานี้อาจแถลงได้ว่า
เนื่องจากเพราะว่าเจตจำนงนั้นเป็นสิ่งที่บีบคั้น ไม่เคยรู้จักหยุดรู้จักพอ
และโดยรวมๆแล้วเป็นสิ่งที่มนุษย์ตีตราว่าเป็นสิ่งที่บาปและชั่วร้าย
คุณภาพเหล่านี้แทรกซึมเข้ามาในการมีอยู่ของมนุษย์เช่นกัน
มันดูเหมือนกับว่าไม่เห็นจะมีเหตุผลอะไรที่เจตจำนงจะสถาปนาตนเองออกมาเป็นจักรวาลทั้งปวง
แต่เนื่องจากว่า สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นมาแล้วจริงๆ
พวกเราอันเป็นร่างอวตารย่อยๆออกมาจากมันอีกทีหนึ่งได้แสดงถึงความขัดแย้ง
ความทุกข์ และความไม่เคยพอ ซึ่งคอยวิ่งไล่ตามแรงขับดันที่ไร้จุดหมาย
ไร้เหตุผล และไร้จุดสิ้นสุด ที่พลังของเจตจำนงนั้นมอบให้แก่เรา
โดยสรุปแล้วมนุษย์คือเจตจำนงค์ในฐานะสิ่งที่กลายเป็นสิ่งที่ถูกรับรู้ได้
เจตจำนงซึ่งเป็นแรงร้ายๆ
และมันมีความหวังเพียงริบหรี่ในชีวิตที่จะรอดพ้นจากมันได้
โชเปนฮาวเออร์กล่าวว่า
“จุดมุ่งหมายโดยตรงและฉับพลันซึ่งๆหน้าของชีวิตนั้นคือความทุกข์”
เพราะอย่างนี้นั่นเองปรัชญาของโชเปนฮาวเออร์จึงให้คุณค่ากับความสูญ
ความไม่ต้องมีต้องเป็นอะไรเลย การปฏิเสธสภาวะใดๆและความมีอยู่ ความเป็นไป
และสถานะสูงสุดของหลักจริยธรรมของเขาก็คือการบำเพ็ญพรตวิถีเพื่อขจัดกิเลสและเจตจำนงของปัจเจกบุคคล
มากไปกว่านั้นเขายังได้เน้นย้ำถึงคุณค่าของสุนทรียะที่จะโน้มให้เราออกห่างจากความทุกข์
โดยผ่านศิลปะและดนตรี ซึ่งจะทำให้ปัจเจกบุคคลใดๆรู้สึกถึงความหลุดพ้น
ความสงบภายใน
และเป็นอิสระจากความต้องการของเจตจำนง(กิเลส)ที่ไม่เคยให้เราได้พักผ่อน
ที่ไม่เคยรู้จักพอ
ผลพวงสืบต่อมาอีกของคำสอนจากโชเปนฮาวเออร์ที่ว่าด้วยร่างกายอันเป็นเจตจำนงที่ถูกรับรู้ได้
(Objectification Of Will) กำลังจะบอกกับเราว่า “มนุษย์ไม่มีเจตจำนงเสรี”
งานเขียนของเขาทั้งหลายทั้งปวงล้วนบอกว่าอย่างมากเรามีเสรีภาพเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
หรือเป็นเสรีภาพที่มีเงื่อนไข
ในสายตาของโชเปนฮาวเออร์เชาว์ปัญญาของมนุษย์ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง(ไม่ใช่สิ่งที่ควบคุมการกระทำทั้งหมดของมนุษย์)
เพราะมันเป็นเพียงอนุปรากฏการณ์หรือปรากฏการณ์ชั้นรองที่เกิดควบคู่ไปกับเจตจำนงค์
สติปัญญามีขึ้นเพื่อรับใช้ความต้องการของเจตจำนงเท่านั้น
ในความเป็นจริงแล้วเราอาจบอกได้ว่าสำหรับโชเปนฮาวเออร์แล้วหรือในทางพระพุทธศาสนาก็เช่นกัน
คำถามทั้งหมดทั้งปวงเกี่ยวกับเสรีภาพของมนุษย์นั้นล้วนเป็นไปอย่างผิดๆเพราะมันกำลังแสดงถึงตัวตนในฐานะของบางสิ่งที่ไม่ใช่เจตจำนงซึ่งเป็นสิ่งที่จริงในตัวเอง
โชเปนฮาวเออร์บอกว่า
“มันไม่ใช่ว่าการกระทำของมนุษย์มาจากแรงผลักดันของเจตจำนง
แต่การกระทำของมนุษย์คือเจตจำนงที่ถูกรับรู้ได้สำแดงตัวออกมา
(Objectification Of Will)”
ไม่มีความเห็น