การมีชีวิตอยู่ของสิ่งมีชีวิตล้วนเป็นการต่อสู้เพื่อชีวิตอยู่รอด การศึกษาชีวิตนกอินทรีย์ที่มันกำลังจะสร้างรังอยู่บนที่สูงเมื่อลูกเติบโตขึ้นมาได้จากไข่แล้วทั้งแม่และพ่อของนกอินทรีย์ก็ไปหาปลามากินแล้วป้อนชิ้นปลาทำเป็นชิ้นเล็ก ๆ ก่อนใส่ปากลูกน้อยของมัน ลูกน้อยทั้งหลายจึงเติบโตขึ้นมาได้ก่อนจะบินไปตามลำพังของมัน
ข้อสังเกตก็คือว่าก่อนที่นกอินทรีย์ ( Decorah Eagles North )จะสร้างรังนั้นขั้นแรกนกอินทรีย์มองหาสถานที่ว่าจะสร้างรังตรงนี้แล้วเห็นว่าปลอดภัยดีแล้วเพราะมีชัยภูมิที่ดีแล้วจึงไปหาแผ่นหินนั้นมาวางทับบนกิ่งไม้ก่อนแล้วก็ไปคาบเอากิ่งไม้ยาว ๆ มาเรียงร้อยทำเป็นรังโดยที่กิ่งไม้นั้นมีทั้งหนามที่แหลมคมหลังจากนั้นก็เอาใบไม้มาวางทับแล้วต่อมาก็ถอนขนของตัวเอง วางทับลงไปอีกชั้นหนึ่งหรือมันไปจับนกด้วยกันมากินโดยจิกเอาขนและปีกนกนั้นวางบนรังของมัน เมื่อมันไข่ออกมาได้เวลาเจาะเปลือกไข่ลูกนกก็ออกมาอ้าปากขออาหาร มันก็บินลงไปหาอาหารเป็นปลาเอามาให้ลูกน้อยกินจนลูกน้อยเติบโตขึ้นมาได้ซักระยะหนึ่งก็นำขนที่นุ่มๆเหล่านั้นออก สักพักหนึ่งก็นำใบไม้ที่นุ่มๆออกแล้วก็นำไม้ที่เป็นหนามแหลมพวกนั้นเอาออกจากรังคงเหลือแต่แผ่นหินถูกแดดก็ร้อนเจอความเย็นก็หนาวเหน็บหลังจากนั้นก็คาบลูกน้อยบินขึ้นไปสูงแล้วก็ปล่อยกลางอากาศให้ช่วยเหลือตนเองเป็นการฝึกหัดบินลูกพอใกล้จะตกถึงพื้นก็จะโฉบลงมาจับเอาลูกขึ้นไปใหม่ในลักษณะอย่างนี้เป็นการฝึกให้ลูกมีความอดทนมีความกล้าหาญมีความเข้มแข็งและมั่นใจได้ว่าสามารถที่จะเอาตัวรอดได้แล้วนกอินทรีย์ทั้งพ่อแม่นั้นก็บินจากไปเหลือแต่ลูกของนกอินทรีย์ที่โดดเดี่ยวที่จะเดินทางชีวิตพจญภัยด้วยลำพังของตนเอง
ยังมีนกอีกประเภทหนึ่งคือนกห่านเมื่อมันจะทำรังเพื่อคลอดลูกมันก็ขึ้นไปดูบนหน้าผาที่สูงชันทั้งผัวและเมียเพื่อหาชัยภูมิที่เหมาะและร่วมกันทำรังแล้วก็เข้าอยู่ในรังนั้น หลังจากที่มันออกไข่มาแล้วและฟักไข่จนเป็นตัวนกน้อยออกมาดูโลกได้ ทั้งผัวและเมียก็บินไปหาอาหารมาป้อนลูกน้อยจนเติบโตได้สักพักพอรู้ว่าลูกน้อยแข็งแรงแล้วแม่กับพ่อมันก็พยายามบินออกจากรังไปจับอยู่หน้าผาไม่ไกลนักแล้วร้องเชิญชวนให้ลูกกระโดดตามขณะที่ลูกนกยังมีขนอ่อนอยู่ยังไม่มีขนปีกเลย แต่บรรดาลูกนกเหล่านั้นก็กระโดดลงมาจากหน้าผากางปีกที่ไร้ขนกางเท้าลอยละลิ่วลงมาข้างล่างลงมา บางตัวตกลงมาแรงกระทบก้อนหินคอหักตายบางตัวเมื่อกระโดดลงมายังไม่ถึงพื้นก็มีนกเหยี่ยวเฉี่ยวโฉบจับเอาไปกิน และลูกนกบางตัวตกลงบนโขดหินที่ลื่นไถลลงไปก็มีมันสูงมากส่วนนกตัวแม่กับพ่อก็มารออยู่ข้างล่างรอดูว่าตัวไหนรอดก็เฝ้าอยู่ห่างๆ นกตัวใดพื้นจากการกระโดดลงมาได้แม่พ่อนกก็สามารถพาลูกนั้นไปต่อได้ชีวิตรอดโดยมีแม่และพ่อของมันพาลงไปหากินในน้ำนับว่าชีวิตของลูกน้อยที่ทรหดอดทนเพื่อหากินปลาสืบต่อไป
ยังมีนกอีกประเภทหนึ่งที่เราคงเคยได้ยินคำเล่าเป็นบทอาขยานสมัยเรียนอยู่ชั้น ป. 4 ที่ว่า...
เจ้านกกาเหว่าเอย
ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก
แม่กาก็หลงรัก
คิดว่าลูกในอุทร
คาบเอาข้าวมาเผื่อ
ไปคาบเอาเหยื่อมาป้อน
ถนอมไว้ในรังนอน
ซ่อนเอาเหยื่อมาให้กิน
ปีกเจ้ายังอ่อนคลอแคล
ท้อแท้จะสอนบิน
แม่กาพาไปกิน
ที่ปากน้ำพระคงคา
ตีนเจ้าเหยียบสาหร่าย
ปากก็ไซร้หาปลา
กินกุ้งแลกินกั้ง
กินหอยกระพังแมงดา
กินแล้วก็โผมา
จับที่ต้นหว้าโพธิ์ทอง
ยังมีนายพราน
เที่ยวเยี่ยมเยี่ยมมองมอง
ยกปืนขึ้นส่อง
จ้องเอาแม่กาดำ
ตัวหนึ่งว่าจะต้ม
อีกตัวหนึ่งว่าจะยำ
กินนางแม่กาดำ
ค่ำวันนี้อุแม่นา.
เรื่องมันมีอยู่ว่าเห็นนกกา(ในศัพท์ว่า Cuckool )ไข่ออกมาแต่นกกาเหว่าเอาไข่มาซ่อนไว้นกกาก็นึกว่าเป็นไข่ลูกของตัวเองหลังจากเจาะเปลือกออกมาลูกนกก็พยายามดันไข่ที่เหลือทิ้งออกมาจากรัง แม้บางรังเป็นตัวน้อย ๆ แล้วมันก็ยังดันให้ลูกนกน้อยทั้งหลายนั้นตกลงมาตาย และในรังจะเหลือเพียงเจ้านกนั้น ด้วยนกกาไปหาเหยื่อต่าง ๆ มาแล้วก็เอามาให้มันกินจนกระทั่งเติบโตขึ้นมาตัวใหญ่ล้นรัง ดังนั้นเมื่อแม่กาเอาเหยื่อมาป้อนเริ่มเห็นผิดสังเกตและกลัว แม่กานึกว่าคงไม่ใช่ลูกของตัวเองแน่แล้ว มันก็บินจากนกน้อยนั้นไป ทีนี้ก็ถึงวาระที่ลูกนกกาเหว่าเจริญเติบโตแข็งแรงเพื่อที่จะหากินได้แล้วมันก็บินออกหากินเพื่อชีวิตมันต่อไป
เรื่องเล่านก 3 ชนิดที่กล่าวมานี้ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจและเป็นอุทาหรณ์สอนใจได้ในหลายแง่มุมครับมีคติธรรมซ่อนไว้มากมายอยู่ในเรื่องราวที่เล่านี้ลองคิดดูนะครับ เกิดมุมคิดอย่างไรเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ ฮา ๆ