พระไตรปิฎกอ่านง่าย เล่มที่ ๑๒ (พระสูตร เล่มที่ ๔) เรื่องที่ ๙ สัมมาทิฏฐิสูตร เรื่องความเห็นอันถูกต้อง


๙. สัมมาทิฏฐิสูตร   ว่าด้วยความเห็นชอบ       

ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ณ ที่นั้น ท่านพระสารีบุตรเรียกภิกษุทั้งหลายมากล่าวว่า “ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย มีคนกล่าวกันว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ด้วยเหตุอะไรบ้าง พระอริยสาวกจึงชื่อว่ามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นตรง มีความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้”

เรื่องอกุศลและกุศล

 “ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่อใด พระอริยสาวกรู้ชัดอกุศลและรากเหง้าแห่งอกุศล รู้ชัดกุศลและรากเหง้าแห่งกุศล เมื่อนั้น แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระอริยสาวกก็ชื่อว่า มีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นตรง มีความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้

อกุศล เป็นอย่างไร คือ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม  การพูดเท็จ  การพูดส่อเสียด  การพูดคำหยาบ  การพูดเพ้อเจ้อ  การเพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของผู้อื่น  การคิดปองร้ายผู้อื่น  มิจฉาทิฏฐิ  นี้เรียกว่า อกุศล

รากเหง้าแห่งอกุศล เป็นอย่างไร  คือ โลภะ  โทสะ  โมหะ

กุศล เป็นอย่างไร  คือ เจตนางดเว้นจากการฆ่าสัตว์  เจตนางดเว้นจากการลักทรัพย์  เจตนางดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม  เจตนางดเว้นจากการพูดเท็จ  เจตนางดเว้นจากการพูดส่อเสียด  เจตนางดเว้นจากการพูดคำหยาบ  เจตนางดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ  การไม่เพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของผู้อื่น การไม่ปองร้ายผู้อื่น  สัมมาทิฏฐิ นี้เรียกว่า กุศล

รากเหง้าแห่งกุศล เป็นอย่างไร คือ อโลภะ  อโทสะ  อโมหะ

เรื่องอาหาร

ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตร แล้วได้ถามปัญหากับท่านพระสารีบุตรต่อไปว่า “ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิด้วยเหตุอื่น มีอยู่หรือไม่”

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า “พึงมีอยู่ เมื่อใด พระอริยสาวกรู้ชัดอาหารเหตุเกิดแห่งอาหาร ความดับแห่งอาหาร และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอาหารเมื่อนั้น แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระอริยสาวกก็ชื่อว่ามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นตรงมีความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้

อาหาร เป็นอย่างไร เหตุเกิดแห่งอาหาร เป็นอย่างไร ความดับแห่งอาหารเป็นอย่างไร ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอาหาร เป็นอย่างไร  คือ อาหาร ๔ ชนิดนี้ ย่อมมีเพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้เกิดแล้วหรือเพื่ออนุเคราะห์เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด

อาหาร ๔ ชนิด อะไรบ้าง คือ

๑. กวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าว หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง

๒. ผัสสาหาร อาหารคือการสัมผัส

๓. มโนสัญเจตนาหาร อาหารคือความจงใจ

๔. วิญญาณาหาร อาหารคือวิญญาณ

เพราะตัณหาเกิด เหตุเกิดแห่งอาหารจึงมี  เพราะตัณหาดับ ความดับแห่งอาหารจึงมี

อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่  ๑. สัมมาทิฏฐิ  ๒. สัมมาสังกัปปะ  ๓. สัมมาวาจา  ๔. สัมมากัมมันตะ ๕. สัมมาอาชีวะ ๖. สัมมาวายามะ  ๗. สัมมาสติ   ๘. สัมมาสมาธิ   นี้เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอาหารได้

เรื่องสัจจะ

ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตร แล้วได้ถามปัญหากับท่านพระสารีบุตรต่อไปว่า “ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิด้วยเหตุอื่น มีอยู่หรือไม่”

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า “พึงมีอยู่ เมื่อใด พระอริยสาวกรู้ชัดทุกข์คือสภาวะที่ทนได้ยาก ทุกขสมุทัย เหตุเกิดทุกข์ ทุกขนิโรธความดับทุกข์ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เมื่อนั้น แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระอริยสาวกก็ชื่อว่ามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นตรง มีความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้”

ทุกข์ เป็นอย่างไร ทุกขสมุทัย เป็นอย่างไร ทุกขนิโรธ เป็นอย่างไร ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เป็นอย่างไร

ทุกข์ เป็นอย่างไร  คือ ชาติเป็นทุกข์ ชราเป็นทุกข์ มรณะเป็นทุกข์ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสอุปายาสเป็นทุกข์ การประสบกับอารมณ์อันไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากอารมณ์อันเป็นที่รักเป็นทุกข์ การไม่ได้สิ่งที่ต้องการเป็นทุกข์ ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ นี้เรียกว่า ทุกข์

ทุกขสมุทัย เป็นอย่างไร คือ ตัณหาอันทำให้เกิดอีก ประกอบด้วยความเพลิดเพลินและความกำหนัดมีปกติให้เพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ ได้แก่ กามตัณหาความทะยานอยากในกาม ภวตัณหาความทะยานอยากเป็นนั่นเป็นนี่ วิภวตัณหาความทะยานอยากไม่เป็นนั่นเป็นนี่ นี้เรียกว่า ทุกขสมุทัย

ทุกขนิโรธ เป็นอย่างไร คือ ความดับตัณหาไม่เหลือด้วยวิราคะ ความสละ ความสละคืน ความพ้นความไม่อาลัยในตัณหา นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธ

ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เป็นอย่างไร คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ ๑. สัมมาทิฏฐิ  ๒. สัมมาสังกัปปะ  ๓. สัมมาวาจา  ๔. สัมมากัมมันตะ ๕. สัมมาอาชีวะ ๖. สัมมาวายามะ  ๗. สัมมาสติ   ๘. สัมมาสมาธิ

นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

เรื่องชราและมรณะ

ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตร แล้วได้ถามปัญหากับท่านพระสารีบุตรต่อไปว่า “ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิด้วยเหตุอื่น มีอยู่หรือไม่”

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า “พึงมีอยู่ เมื่อใด พระอริยสาวกรู้ชัดชราและมรณะเหตุเกิดแห่งชราและมรณะ ความดับแห่งชราและมรณะ และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ เมื่อนั้น แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระอริยสาวกก็ชื่อว่ามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นตรง มีความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้

ชราและมรณะ เป็นอย่างไร เหตุเกิดแห่งชราและมรณะ เป็นอย่างไร ความดับแห่งชราและมรณะ เป็นอย่างไร ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ เป็นอย่างไร

ชรา เป็นอย่างไร คือ ความแก่ ความคร่ำคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความมีหนังเหี่ยวย่น ความเสื่อมอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่า ชรา

มรณะ เป็นอย่างไร คือ ความจุติ ความเคลื่อนไป ความทำลายไป ความหายไป ความตายกล่าวคือมฤตยู การทำกาละ ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งร่างกาย ความขาดสูญแห่งชีวิตินทรีย์ของเหล่าสัตว์นั้นๆ จากหมู่สัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่า มรณะชราและมรณะดังกล่าวมาแล้ว นี้เรียกว่า ชราและมรณะ

เพราะชาติเกิด เหตุเกิดแห่งชราและมรณะจึงมี  เพราะชาติดับ ความดับแห่งชราและมรณะจึงมี

อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ ๑. สัมมาทิฏฐิ  ๒. สัมมาสังกัปปะ  ๓. สัมมาวาจา  ๔. สัมมากัมมันตะ ๕. สัมมาอาชีวะ ๖. สัมมาวายามะ  ๗. สัมมาสติ   ๘. สัมมาสมาธิ  นี้เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ

เรื่องชาติ

ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตร แล้วได้ถามปัญหากับท่านพระสารีบุตรต่อไปว่า “ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิด้วยเหตุอื่น มีอยู่หรือไม่”

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า “พึงมีอยู่ เมื่อใด พระอริยสาวกรู้ชัดชาติ เหตุเกิดแห่งชาติ ความดับแห่งชาติ และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งชาติ เมื่อนั้น แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระอริยสาวกก็ชื่อว่ามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นตรง มีความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้

ชาติ เป็นอย่างไร เหตุเกิดแห่งชาติ เป็นอย่างไร ความดับแห่งชาติ เป็นอย่างไรข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งชาติ เป็นอย่างไร

ความเกิด ความเกิดพร้อม ความหยั่งลง ความบังเกิด ความบังเกิดเฉพาะความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่า ชาติ

เพราะภพเกิด เหตุเกิดแห่งชาติจึงมี  เพราะภพดับ ความดับแห่งชาติจึงมี

อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ ๑. สัมมาทิฏฐิ  ๒. สัมมาสังกัปปะ  ๓. สัมมาวาจา  ๔. สัมมากัมมันตะ ๕. สัมมาอาชีวะ ๖. สัมมาวายามะ  ๗. สัมมาสติ   ๘. สัมมาสมาธิ   นี้เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งชาติ

เรื่องภพ

ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตร แล้วได้ถามปัญหากับท่านพระสารีบุตรต่อไปว่า “ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิด้วยเหตุอื่น มีอยู่หรือไม่”

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า “พึงมีอยู่ เมื่อใด พระอริยสาวกรู้ชัดภพ เหตุเกิดแห่งภพ ความดับแห่งภพ และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งภพ เมื่อนั้น แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระอริยสาวกก็ชื่อว่ามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นตรง มีความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้

ภพ เป็นอย่างไร เหตุเกิดแห่งภพ เป็นอย่างไร ความดับแห่งภพ เป็นอย่างไรข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งภพ เป็นอย่างไร

ภพ ๓ เหล่านี้ คือ   

๑. กามภพ ภพที่เป็นกามาวจร

๒. รูปภพ ภพที่เป็นรูปาวจร

๓. อรูปภพ ภพที่เป็นอรูปาวจร

เพราะอุปาทานดับ ความดับแห่งภพจึงมี

อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่  ๑. สัมมาทิฏฐิ  ๒. สัมมาสังกัปปะ  ๓. สัมมาวาจา  ๔. สัมมากัมมันตะ ๕. สัมมาอาชีวะ ๖. สัมมาวายามะ  ๗. สัมมาสติ   ๘. สัมมาสมาธิ   นี้เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งภพ

เรื่องอุปาทาน

ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตร แล้วได้ถามปัญหากับท่านพระสารีบุตรต่อไปว่า “ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิด้วยเหตุอื่น มีอยู่หรือไม่”

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า “พึงมีอยู่ เมื่อใด พระอริยสาวกรู้ชัดอุปาทาน เหตุเกิดแห่งอุปาทาน ความดับแห่งอุปาทาน และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอุปาทานเมื่อนั้น แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระอริยสาวกก็ชื่อว่ามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นตรงมีความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้

อุปาทาน เป็นอย่างไร เหตุเกิดแห่งอุปาทาน เป็นอย่างไร ความดับแห่งอุปาทาน เป็นอย่างไร ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอุปาทาน เป็นอย่างไร

อุปาทาน ๔ ประการนี้ คือ

๑. กามุปาทาน (ความยึดมั่นในกาม)

๒. ทิฏฐุปาทาน (ความยึดมั่นในทิฏฐิ)

๓. สีลัพพตุปาทาน (ความยึดมั่นในศีลและวัตร)

๔. อัตตวาทุปาทาน (ความยึดมั่นในวาทะว่ามีอัตตา)

เพราะตัณหาเกิด เหตุเกิดแห่งอุปาทานจึงมี  เพราะตัณหาดับ ความดับแห่งอุปาทานจึงมี

อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ ๑. สัมมาทิฏฐิ  ๒. สัมมาสังกัปปะ  ๓. สัมมาวาจา  ๔. สัมมากัมมันตะ ๕. สัมมาอาชีวะ ๖. สัมมาวายามะ  ๗. สัมมาสติ   ๘. สัมมาสมาธิ   นี้เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอุปาทาน

เรื่องตัณหา

ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตรแล้วได้ถามปัญหากับท่านพระสารีบุตรต่อไปว่า “ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิด้วยเหตุอื่น มีอยู่หรือไม่”

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า “พึงมีอยู่ เมื่อใด พระอริยสาวกรู้ชัดตัณหา เหตุเกิดแห่งตัณหา ความดับแห่งตัณหา และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งตัณหา เมื่อนั้นแม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระอริยสาวกก็ชื่อว่ามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นตรง มีความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้

ตัณหา เป็นอย่างไร เหตุเกิดแห่งตัณหา เป็นอย่างไร ความดับแห่งตัณหาเป็นอย่างไร ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งตัณหา เป็นอย่างไร

ตัณหา ๖ ประการนี้ คือ

๑. รูปตัณหา (ความทะยานอยากในรูป)

๒. สัททตัณหา (ความทะยานอยากในเสียง)

๓. คันธตัณหา (ความทะยานอยากในกลิ่น)

๔. รสตัณหา (ความทะยานอยากในรส)

๕. โผฏฐัพพตัณหา (ความทะยานอยากในโผฏฐัพพะ)

๖. ธัมมตัณหา (ความทะยานอยากในธรรมารมณ์)

เพราะเวทนาเกิด เหตุเกิดแห่งตัณหาจึงมี   เพราะเวทนาดับ ความดับแห่งตัณหาจึงมี

อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ ๑. สัมมาทิฏฐิ  ๒. สัมมาสังกัปปะ  ๓. สัมมาวาจา  ๔. สัมมากัมมันตะ ๕. สัมมาอาชีวะ ๖. สัมมาวายามะ  ๗. สัมมาสติ   ๘. สัมมาสมาธิ   นี้เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งตัณหา

เรื่องเวทนา

ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตร แล้วได้ถามปัญหากับท่านพระสารีบุตรต่อไปว่า “ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิด้วยเหตุอื่น มีอยู่หรือไม่”

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า “พึงมีอยู่ เมื่อใด พระอริยสาวกรู้ชัดเวทนา เหตุเกิดแห่งเวทนา ความดับแห่งเวทนา และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งเวทนา เมื่อนั้นแม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระอริยสาวกก็ชื่อว่ามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นตรงมีความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้

เวทนา เป็นอย่างไร เหตุเกิดแห่งเวทนา เป็นอย่างไร ความดับแห่งเวทนาเป็นอย่างไร ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งเวทนา เป็นอย่างไร

เวทนา ๖ ประการนี้ คือ

๑. จักขุสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางตา)

๒. โสตสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางหู)

๓. ฆานสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางจมูก)

๔. ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางลิ้น)

๕. กายสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางกาย)

๖. มโนสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางใจ)

เพราะผัสสะเกิด เหตุเกิดแห่งเวทนาจึงมี   เพราะผัสสะดับ ความดับแห่งเวทนาจึงมี

อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ ๑. สัมมาทิฏฐิ  ๒. สัมมาสังกัปปะ  ๓. สัมมาวาจา  ๔. สัมมากัมมันตะ ๕. สัมมาอาชีวะ ๖. สัมมาวายามะ  ๗. สัมมาสติ   ๘. สัมมาสมาธิ    นี้เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งเวทนา

เรื่องผัสสะ

ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตร แล้วได้ถามปัญหากับท่านพระสารีบุตรต่อไปว่า “ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิด้วยเหตุอื่น มีอยู่หรือไม่”

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า “พึงมีอยู่ เมื่อใด พระอริยสาวกรู้ชัดผัสสะ เหตุเกิดแห่งผัสสะ ความดับแห่งผัสสะ และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งผัสสะ เมื่อนั้นแม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระอริสาวกก็ชื่อว่ามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นตรง มีความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้

ผัสสะ เป็นอย่างไร เหตุเกิดแห่งผัสสะ เป็นอย่างไร ความดับแห่งผัสสะ เป็นอย่างไร ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งผัสสะ เป็นอย่างไร

ผัสสะ ๖ ประการนี้ คือ

๑. จักขุสัมผัส (สัมผัสทางตา)

๒. โสตสัมผัส (สัมผัสทางหู)

๓. ฆานสัมผัส (สัมผัสทางจมูก)

๔. ชิวหาสัมผัส (สัมผัสทางลิ้น)

๕. กายสัมผัส (สัมผัสทางกาย)

๖. มโนสัมผัส (สัมผัสทางใจ)

เพราะอายตนะ ๖ เกิด เหตุเกิดแห่งผัสสะจึงมี  เพราะอายตนะ ๖ ดับ ความดับแห่งผัสสะจึงมี

อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ ๑. สัมมาทิฏฐิ  ๒. สัมมาสังกัปปะ  ๓. สัมมาวาจา  ๔. สัมมากัมมันตะ ๕. สัมมาอาชีวะ ๖. สัมมาวายามะ  ๗. สัมมาสติ   ๘. สัมมาสมาธิ   นี้แลเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งผัสสะ

เรื่องอายตนะ

ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตร แล้วได้ถามปัญหากับท่านพระสารีบุตรต่อไปว่า “ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิด้วยเหตุอื่น มีอยู่หรือไม่”

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า “พึงมีอยู่ เมื่อใด พระอริยสาวกรู้ชัดอายตนะ ๖ประการ เหตุเกิดแห่งอายตนะ ๖ ประการ ความดับแห่งอายตนะ ๖ ประการและข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอายตนะ ๖ ประการ เมื่อนั้น แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้พระอริยสาวกก็ชื่อว่ามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นตรง มีความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้

อายตนะ ๖ ประการ เป็นอย่างไร เหตุเกิดแห่งอายตนะ ๖ ประการเป็นอย่างไร ความดับแห่งอายตนะ ๖ ประการ เป็นอย่างไร ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอายตนะ ๖ ประการ เป็นอย่างไร

อายตนะ ๖ ประการนี้ คือ

๑. จักขวายตนะ (อายตนะคือตา)

๒. โสตายตนะ (อายตนะคือหู)

๓. ฆานายตนะ (อายตนะคือจมูก)

๔. ชิวหายตนะ (อายตนะคือลิ้น)

๕. กายายตนะ (อายตนะคือกาย)

๖. มนายตนะ (อายตนะคือใจ)

เพราะนามรูปเกิด เหตุเกิดแห่งอายตนะ ๖ ประการจึงมี  เพราะนามรูปดับ ความดับแห่งอายตนะ ๖ ประการจึงมี

อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ ๑. สัมมาทิฏฐิ  ๒. สัมมาสังกัปปะ  ๓. สัมมาวาจา  ๔. สัมมากัมมันตะ ๕. สัมมาอาชีวะ ๖. สัมมาวายามะ  ๗. สัมมาสติ   ๘. สัมมาสมาธิ   นี้เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอายตนะ ๖ ประการ

เรื่องนามรูป

ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตร แล้วได้ถามปัญหากับท่านพระสารีบุตรต่อไปว่า “ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิด้วยเหตุอื่น มีอยู่หรือไม่”

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า “พึงมีอยู่ เมื่อใด พระอริยสาวกรู้ชัดนามรูปเหตุเกิดแห่งนามรูป ความดับแห่งนามรูป และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งนามรูปเมื่อนั้น แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระอริยสาวกก็ชื่อว่ามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นตรงมีความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้

นามรูป เป็นอย่างไร เหตุเกิดแห่งนามรูป เป็นอย่างไร ความดับแห่งนามรูปเป็นอย่างไร ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งนามรูป เป็นอย่างไร

เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ นี้เรียกว่า นาม มหาภูตรูป ๔ (ได้แก่ดิน น้ำ ลม ไฟ) และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ (อุปาทายรูป ๒๔) นี้เรียกว่า รูป

นามและรูปดังกล่าวนี้ เรียกว่า นามรูป

เพราะวิญญาณเกิด เหตุเกิดแห่งนามรูปจึงมี

เพราะวิญญาณดับ ความดับแห่งนามรูปจึงมี

อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ ๑. สัมมาทิฏฐิ  ๒. สัมมาสังกัปปะ  ๓. สัมมาวาจา  ๔. สัมมากัมมันตะ ๕. สัมมาอาชีวะ ๖. สัมมาวายามะ  ๗. สัมมาสติ   ๘. สัมมาสมาธิ   นี้แลเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งนามรูป

เรื่องวิญญาณ

ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตรแล้วได้ถามปัญหากับท่านพระสารีบุตรต่อไปว่า “ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิด้วยเหตุอื่น มีอยู่หรือไม่”

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า “พึงมีอยู่ เมื่อใด พระอริยสาวกรู้ชัดวิญญาณเหตุเกิดแห่งวิญญาณ ความดับแห่งวิญญาณ และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งวิญญาณเมื่อนั้น แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระอริยสาวกก็ชื่อว่ามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นตรงมีความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้

วิญญาณ เป็นอย่างไร เหตุเกิดแห่งวิญญาณ เป็นอย่างไร ความดับแห่งวิญญาณ เป็นอย่างไร ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ เป็นอย่างไร

วิญญาณ ๖ ประการนี้ คือ

๑. จักขุวิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์ทางตา)

๒. โสตวิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์ทางหู)

๓. ฆานวิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์ทางจมูก)

๔. ชิวหาวิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์ทางลิ้น)

๕. กายวิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์ทางกาย)

๖. มโนวิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์ทางใจ)

เพราะสังขารเกิด เหตุเกิดแห่งวิญญาณจึงมี   เพราะสังขารดับ ความดับแห่งวิญญาณจึงมี

อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ ๑. สัมมาทิฏฐิ  ๒. สัมมาสังกัปปะ  ๓. สัมมาวาจา  ๔. สัมมากัมมันตะ ๕. สัมมาอาชีวะ ๖. สัมมาวายามะ  ๗. สัมมาสติ   ๘. สัมมาสมาธิ   นี้เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ

เรื่องสังขาร

ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตร แล้วได้ถามปัญหากับท่านพระสารีบุตรต่อไปว่า “ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิด้วยเหตุอื่น มีอยู่หรือไม่”

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า “พึงมีอยู่ เมื่อใด พระอริยสาวกรู้ชัดสังขาร เหตุเกิดแห่งสังขาร ความดับแห่งสังขาร และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งสังขาร เมื่อนั้นแม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระอริยสาวกก็ชื่อว่ามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นตรง มีความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้

สังขาร เป็นอย่างไร เหตุเกิดแห่งสังขาร เป็นอย่างไร ความดับแห่งสังขารเป็นอย่างไร ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งสังขาร เป็นอย่างไร

สังขาร ๓ ประการนี้ คือ

๑. กายสังขาร (สภาพที่ปรุงแต่งกาย)

๒. วจีสังขาร (สภาพที่ปรุงแต่งวาจา)

๓. จิตตสังขาร (สภาพที่ปรุงแต่งใจ)

เพราะอวิชชาเกิด เหตุเกิดแห่งสังขารจึงมี  เพราะอวิชชาดับ ความดับแห่งสังขารจึงมี

อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ ๑. สัมมาทิฏฐิ  ๒. สัมมาสังกัปปะ  ๓. สัมมาวาจา  ๔. สัมมากัมมันตะ ๕. สัมมาอาชีวะ ๖. สัมมาวายามะ  ๗. สัมมาสติ   ๘. สัมมาสมาธิ    นี้เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งสังขาร

เรื่องอวิชชา

ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตร แล้วได้ถามปัญหากับท่านพระสารีบุตรต่อไปว่า “ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิด้วยเหตุอื่น มีอยู่หรือไม่”

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า “พึงมีอยู่ เมื่อใด พระอริยสาวกรู้ชัดอวิชชา เหตุเกิดแห่งอวิชชา ความดับแห่งอวิชชา และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอวิชชา เมื่อนั้นแม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระอริยสาวกก็ชื่อว่ามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นตรง มีความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้

อวิชชา เป็นอย่างไร เหตุเกิดแห่งอวิชชา เป็นอย่างไร ความดับแห่งอวิชชาเป็นอย่างไร ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอวิชชา เป็นอย่างไร

ความไม่รู้ในทุกข์ เหตุเกิดแห่งทุกข์ ความดับแห่งทุกข์ และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งทุกข์ นี้เรียกว่า อวิชชา

เพราะอาสวะเกิด เหตุเกิดแห่งอวิชชาจึงมี   เพราะอาสวะดับ ความดับแห่งอวิชชาจึงมี

อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ ๑. สัมมาทิฏฐิ  ๒. สัมมาสังกัปปะ  ๓. สัมมาวาจา  ๔. สัมมากัมมันตะ ๕. สัมมาอาชีวะ ๖. สัมมาวายามะ  ๗. สัมมาสติ   ๘. สัมมาสมาธิ   นี้เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอวิชชา

เรื่องอาสวะ

ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตร แล้วได้ถามปัญหากับท่านพระสารีบุตรต่อไปว่า “ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิด้วยเหตุอื่น มีอยู่หรือไม่”

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า “พึงมีอยู่ เมื่อใด พระอริยสาวกรู้ชัดอาสวะเหตุเกิดแห่งอาสวะ ความดับแห่งอาสวะ และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอาสวะเมื่อนั้น แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระอริยสาวกก็ชื่อว่ามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นตรงมีความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้

อาสวะ เป็นอย่างไร เหตุเกิดแห่งอาสวะ เป็นอย่างไร ความดับแห่งอาสวะเป็นอย่างไร ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอาสวะ เป็นอย่างไร

อาสวะ ๓ ประการนี้ คือ

๑. กามาสวะ (อาสวะคือกาม)

๒. ภวาสวะ (อาสวะคือภพ)

๓. อวิชชาสวะ (อาสวะคืออวิชชา)

เพราะอวิชชาเกิด เหตุเกิดแห่งอาสวะจึงมี   เพราะอวิชชาดับ ความดับแห่งอาสวะจึงมี

อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ ๑. สัมมาทิฏฐิ  ๒. สัมมาสังกัปปะ  ๓. สัมมาวาจา  ๔. สัมมากัมมันตะ ๕. สัมมาอาชีวะ ๖. สัมมาวายามะ  ๗. สัมมาสติ   ๘. สัมมาสมาธิ   นี้เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งอาสวะ

ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดีต่างชื่นชมภาษิตของท่านพระสารีบุตร ดังนี้

เรียบเรียงโดย ดร.ศักดิ์ ประสานดี

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ๑. มูลปริยายวรรค เรื่องที่  ๙สัมมาทิฏฐิสูตร ข้อที่ ๘๙ – ๑๐๔

หมายเลขบันทึก: 677264เขียนเมื่อ 1 พฤษภาคม 2020 19:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 กรกฎาคม 2020 23:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท