ในช่วงของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “โควิด ๑๙” มีเรื่องราวดีๆที่เป็นข้อคิดสะกิดใจ ในทุกภูมิภาคของประเทศ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
บางสิ่งบางอย่าง ทำให้เกิดมุมมอง “การบริหารจัดการ”และ “คุณธรรม”ประจำใจของใครบางคน แต่คนไทยส่วนใหญ่ล้วนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อและเกื้อกูลกัน
บทเรียนจากสาวใจบุญ ที่เปิดใจเหตุผลที่เธอต้องแจกโจ๊ก ผมฟังในยูทูปแล้วน้ำตาจะไหล ซึ่งก่อนหน้านี้พนักงานและเจ้าหน้าที่จังหวัดนครปฐม สกัดกั้นมิให้เธอแจก..
เรามาฟังคำพูดจากสาวใจบุญ สะท้อนอะไรได้บ้าง ในภาวะวิกฤติเช่นนี้
“เจ้าหน้าที่เกือบ ๒๐ คน เข้ามา เหมือนจะมาล้อมจับโจร” แต่ที่เข้ามานั้นเพียงต้องการจะเข้ามาห้ามไม่ให้แจก ต่อจากนั้น..เจ้าหน้าที่ก็นำไปแจกเสียเอง
อันที่จริง..สาวใจบุญท่านนี้ แจกเป็นวันที่เจ็ดแล้ว มีผู้คนมารับโจ๊กมากมาย ยืนเป็นแถวห่างกัน ในบริเวณนั้นมีเครื่องวัดไข้ และมีเจลล้างมือให้บริการ
แสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด แบบไม่ดูกาละเทศะ ไม่ดูเวลาเลยว่ามีคนหิวโหยรอทานข้าวอย่างมากมาย ขาดความอะลุ้มอล่วย
ฝ่ายบริหารฯที่สั่งการมาให้ดำเนินการ..ก็น่าจะใช้ศาสตร์และศิลป์ในการทำงาน เพื่อการก้าวข้ามผ่านโควิดไปด้วยกัน มิใช่หรือ?
“คุณทำอย่างนี้มันผิดกฎหมาย ถ้าคุณแจกผมจะจับ” ทำไมในเวลานั้น เจ้าหน้าที่ที่มากันเยอะๆ จึงไม่ช่วยกันจัดระเบียบ และช่วยสาวใจบุญแจกโจ๊กเสียเลย..
คิดให้ง่าย แต่ไม่ใช่มักง่าย ทำดีในเวลานั้นมิใช่เรื่องยาก บ่งบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ “คิดไม่เป็น”
“จัดให้คนนั่งแล้ว..คนก็รอแล้ว แต่ไม่แจกยกข้าวของไปหมด (เอาไปแจกเอง) ป้าคนหนึ่งหิวมาก มายืนอยู่ข้างรถ หนูก็ไม่สามารถแจกให้เขาได้ ถ้าแจกหนูถูกจับ”
ในบรรยากาศแบบนี้ เจ้าหน้าที่ควรใช้ “ความรู้สึก”มากกว่าเหตุผล เพราะคนมารอแล้ว นั่งตากแดดอยู่นานแล้ว สาวใจบุญก็นำโจ๊กมาพร้อม จะไล่คนกลับทำไม?
สาวใจบุญ เธอพูดว่า..เจ้าหน้าที่ไม่ได้ใช้ “หัวใจ”ในการทำงานเอาเสียเลย เป็นคำพูดที่ถูกต้องและได้ใจความเป็นอย่างดี
“ไม่มีระบบการจัดการที่ดี ไม่ให้เกียรติเรา” คงเป็นลักษณะส่วนหนึ่งของคนภาครัฐที่ชอบข่มขู่ประชาชน บางคนทำจนเป็นสันดาน เหมือนไร้สมอง..
“คนจนไม่มีสิทธิเหรอ เขาหิวข้าวกันนะ เขามานั่งรอกินข้าวนะ” เจ้าหน้าที่มีเงินเดือน มีค่าตอบแทน สะดวกสบายจนไม่รู้ทุกข์รู้ยาก จึงเข้าไม่ถึงหัวอกคนยากคนจน
“เรารู้ว่าเราผิด ควรตักเตือนเรา แล้วมาช่วยเราก่อน ไม่ใช่ทำกับเราแบบนี้”
การทำงานของเจ้าหน้าที่แบบไม่คิดใคร่ครวญ จึงดูเหมือนแล้งน้ำใจ ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่ผู้คนต่างเคร่งเครียดและไม่สะดวกสบายในการใช้ชีวิต
“หนูไม่เล่นการเมือง หนูไม่รู้จักการเมือง แต่หนูรักประเทศไทย หนูรักคนไทย ทำน้อยดีกว่าไม่ทำเลย หนูใช้เงินส่วนตัวตลอด หนูทำงานจิตอาสามานานแล้ว”
เป็นคำพูดของสาวใจบุญ หรือคุณกัญญณัฎฐ์ สิริธารเบญจกุล ผู้ก่อตั้งมูลนิธิปั้นเด็กดี..เป็นคนขายโจ๊กที่คิดได้ดีงามมากกว่าเจ้าหน้าที่ภาครัฐเสียอีก
“หนูไม่ใช่แค่รักตัวเอง แต่หนูรักประเทศไทย อยากให้ประเทศไทยดีขึ้น”
สถานการณ์โควิด๑๙ จะผ่านพ้นคนไทยไปได้อย่างแน่นอน ถ้ามีคนใจบุญที่คิดดีทำดีแบบนี้ และผมเชื่อว่ายังมีคนเช่นนี้อีกมาก..บนผืนแผ่นดินไทย..
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๒๒ เมษายน ๒๕๖๓
ผมขอชื่นชม “คุณกัญญณัฎฐ์ สิริธารเบญจกุล” ครับ ขอให้กำลังใจการทำความดีต่อไป
และ
เจ้าหน้าที่รัดถะ มีสมองสักนิดก็ดีครับ ;(
ครับ ในยามนี้ ควรให้กำลังใจคนทำดี และมองให้ไกลไปถึงคนที่ทุกข์ยาก รออาหารและความหวัง แค่ไม่ต้องจับ แล้วปรับระบบระเบียบ ด้วยความละมุนละม่อม..ก็จบแล้ว จะเป็นตัวอย่างและสร้างบรรทัดฐานได้อีกมากมายครับ