คำถาม ประสบการณ์ ความคิดเห็น และ ข้อเสนอแนะจากผู้ฟัง
ผู้ฟัง….อยากเรียนถามอาจารย์ว่า เนื่องจากที่กล่าวถึงว่าสังคมนี้เป็นสังคมวัตถุนิยม เป็นสังคมทุนนิยม บทเรียนของอาจารย์มีความชัดเจนในเรื่องจริยธรรมกันอย่างไร
ครูอิ่ม….ที่โรงเรียนสอน ICT เป็นสื่อ หลายคนก็มองว่า ICT จะทำให้เด็กด้อยในเรื่องศีลธรรมไหม อย่างที่เรียนแล้วว่า เราใช้ ICT เป็นตัวฉายภาพความคิด ทำให้เราได้รู้จักกับเด็กแต่ละคน การที่เราสนับสนุนให้เด็กได้ดูกัน ช่วยเหลือแนะนำกันในการใช้ ICT ในการเรียนรู้นั้น เป็นการส่งเสริมให้เด็กมีคุณธรรม มีน้ำใจช่วยเหลือกันและกันได้อย่างเป็นรูปธรรม เราใช้ ICT ไปในการเรียนรู้ทุกวิชาโดยเป็นตัวช่วยให้นักเรียนได้สร้างความรู้โดยไม่ไปบั่นทอนลักษณะที่ดีงามของวิชาใดเลย
ครูเหล่น….ในเรื่องของคุณธรรมและจริยธรรม ขอยกตัวอย่างวิชามานุษกับโลก ซึ่ง ทุกวิชาก็มีความคิดที่อยู่เบื้องหลังหลักสูตร เบี้องหลังในการสร้างหลักสูตรมานุษกับโลก คือ เราจะต้องเคารพในธรรมชาติที่เรามีในฐานะที่เราเป็นผู้อาศัย ไม่ใช่เจ้าของโลก ความคิดนี้จะถูกสะท้อนออกมาในการจัดหลักสูตรตั้งแต่ ป.1 ถึง ป. 3 ซึ่ง ป. 1 คือการรู้จักตัวเอง และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ซึ่งแม้จะเห็นว่ามีความแตกต่างจากเรา แต่ก็เป็นชีวิตเหมือนกัน เราจึงใช้ชื่อหลักของการเรียนรู้วิชามานุษกับโลกใน ป. 1 ว่า “มหัศจรรย์เพื่อนร่วมโลก” พอ ป.๒ ก็จะเรียนเรื่องพืช พืชเป็นผู้ให้ในระบบนิเวศน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จึงใช้ชื่อว่า “เพื่อนสีเขียว” พอมา ป.๓ เด็กจะรู้จักการคิดวิเคาระห์ได้มากขึ้น ก็จะเรียนรู้เทคโนโลยี การนำเทคโนโลยีมาใช้ มาพัฒนา ซึ่งจะเรียนรู้ว่าทุกครั้งที่มีการปรับเปลี่ยนย่อมต้องกระทบวิถีชีวิตเดิม เขาจะได้ทำโครงการว่า ถ้าเขาคิดเทคโนโลยี เขาจะคิดอะไร ส่งผลกระทบอย่างไร กล่าวได้ว่าเราได้พยายามสร้างคุณธรรมและจริยธรรมด้วยการวางหลักคิดให้เขารักสิ่งรอบตัว และเคารพชีวิตอื่นๆ นั้นเอง
ครูใหม่…เราเอาความดี ความงานของแต่ละวิชาผ่านการเรียนรู้เข้าไปในจิตใจของเด็กด้วย นอกจากนั้น การเกาะเกี่ยวกันของ ครู นักเรียน ผู้บริหาร ผู้ปกครอง และยังมีชุมชนที่อยู่รายรอบ ก็มีส่วนร่วมสร้างคุณธรรมด้วย ล่าสุด กรณีศึกษาที่เราสร้างกิจกรรมที่ส่งเสริม “การให้” โดยการเลือกออกภาคสนามที่แสดงให้เห็นว่าเราคำนึงถึงประเด็นเรื่องที่จะเรียนควบคู่ไปกับเรื่องอื่นๆ ด้วย คือ ในชั้น ม.๓ เด็กเรียนระบบนิเวศน์เรื่องน้ำพอดี เรารู้ว่าการออกภาคสนามทำให้เด็กเข้าใจเรื่องที่เรียนได้ชัดเจน คุณครูเลือกพื้นที่น้ำท่วมที่ตำบลเจ้าเจ็ด อำเภอเสนา จังหวัดอยุธยานั้น เด็กจะเห็นปรากฏการณ์น้ำท่วม รู้ว่าน้ำมาจากไหน ที่ล้นเอ่อในระดับที่เกินปกตินั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เห็นความเดือดร้อนทุกข์ยากของคนอื่นที่รับน้ำท่วม รับทุกข์ ไว้แทนชาวกรุงเทพฯ ครูมาคิดว่าทำอย่างไรเมื่อเด็กเห็นความทุกข์ยากแล้วไม่ดูดาย แต่มี Action ในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น มีปฏิบัติการที่จะให้ตระหนักในหน้าที่และรู้ถึงคุณค่าของการให้ จึงได้ตั้งศูนย์ ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยขึ้นในโรงเรียน วิธีการก็คือ การออกจดหมายถึงชุมชนในโรงเรียนก่อนเป็นอันดับแรก ว่าเราต้องการความช่วยเหลือในเรื่องนี้ ใครมีทุนในเรื่องใดก็มาช่วยกัน ทั้งสินค้าราคาทุน ยานพาหนะที่จะขนของไป จัดการจนกระทั่งเราระดมทุนได้หลายหมื่นบาท ครูได้ ประสานงานกับเจ้าของพื้นที่จริงในการสำรวจความเดือดร้อนและความต้องการที่แท้จริงของผู้ประสบภัย เด็กก็มาจัดบรรจุถุงยังชีพเหมือนเป็นอาสาสมัครกาชาดตัวจริง และเป็นผู้นำไปให้ด้วยตนเอง
นอกจากนั้นครูก็ยังวางโครงการช่วยเหลือต่อเนื่องหลังน้ำท่วม เช่น ไปสร้างสาธารณะประโยชน์อะไร เด็กจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการคลี่คลายปัญหา เป็นการทำให้เด็กเห็นการแก้ปัญหาครบวงจร เป็นการรู้จักที่จะรักผู้อื่นและพัฒนาตัวเอง เห็นความเดือดร้อนของสังคมเป็นของตัวเอง และนี่คือสิ่งที่เราพยายามจะแทรกเข้าไปในการเรียนรู้เสมอ
ผู้ฟัง…เข้ามาไม่ทันในช่วงแรก แต่ได้เห็นภาพของความสำเร็จ จึงขอทราบว่ากว่าจะมาถึงตรงนี้ได้มีข้อจำกัดอะไรไหม เด็กมีความพร้อมไหม อันนี้เป็นข้อแรกของคำถามเกี่ยวกับการนำกระบวนการเรียนรู้แบบนี้เข้ามาในโรงเรียน ส่วนอีกข้อหนึ่งก็คือ หลังจากที่เด็กจบไปแล้ว ไม่ทราบว่าโรงเรียนได้มีการติดตามผลหรือไม่ ว่าเด็กที่ออกจากโรงเรียนเราไปแล้ว ได้มีการนำเอากระบวนการเรียนรู้แบบนี้ไปใช้ในการศึกษาในระดับสูงกว่าหรือไม่ เป็นการติดตามดูการต่อเนื่องของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ว่าหากพ้นไปจากบริบทที่เอื้อต่อการใช้กระบวนการแบบนี้แล้ว เขาจะยังใช้กระบวนการเรียนรู้เหล่านี้ได้อยู่หรือไม่
ครูใหม่…เนื่องจากโรงเรียนเพิ่งเปิดใหม่ ปีนี้เป็นปีที่สาม จึงยังไม่มีเด็กจบออกไป ขณะนี้เด็กชั้นโตที่สุดอยู่ที่ชั้น ม. ๓ แต่จากการติดตามดูเราพบว่า เขาเกิดอุปนิสัยในการเรียนรู้ขึ้นที่บ้านและที่อื่นๆ มันไม่อยู่เฉพาะห้องเรียนที่ครูจัดให้เท่านั้น เด็กในกลุ่มวัยอ่านออกเขียนได้ เวลาออกภาคสนามจะมีสมุดภาคสนาม ถ้าเด็กได้ทำตามเงื่อนไขตามสมุดจนครบ รับรองว่าเขาจะได้ชุดความรู้ติดตามมาแน่นอน เมื่อเด็กได้ทำบ่อยๆ ก็จะเกิดเป็นอุปนิสัยติดตัว ซึ่งก็ต้องการความร่วมมือและเห็นพ้องจากผู้ปกครองเป็นอย่างมากในการส่งเสริมและสนับสนุน
คือ ผู้ปกครองก็เป็นได้ทั้งปัจจัยบวกและลบ หากผู้ปกครองเห็นว่าการเรียนแบบนี้ยุ่งยาก และควรอยู่ในเฉพาะในโรงเรียน คือไม่อยาก “ยุ่ง” ก็จะทำให้เป็นข้อจำกัดในการพัฒนาเด็กในกระบวนการเรียนการสอนแบบนี้
ครูอิ่ม…อย่างที่เคยกล่าวไว้ว่าเด็กจะต้อง “เรียน” ไม่ใช่ “เลียน” และการสอนกระบวนการเรียนรู้ก็เหมือนการสอนให้จับปลาแทนการให้ปลา
ครูใหม่…ข้อจำกัดอีกอย่างก็คือ การที่เราเป็นโรงเรียนเอกชน ไม่ได้รับการสนับสนุนจากที่ไหน ทำให้ไม่สามารถเก็บค่าเรียนต่ำไปกว่านี้ได้ และมีข้อจำกัดในการไปขออบรมอยู่บ่อยครั้ง เรียกได้ว่า เป็นร้อยละ ๘๐ ของการจัดอบรมโดยรัฐ เนื่องจากเราไม่มีสังกัด แต่การอบรมต่างๆ จัดให้เฉพาะโรงเรียนในสังกัดต่างๆ เท่านั้น ทำให้การเข้าถึงความรู้และการพัฒนาครูเป็นไปช้า เพราะเราก็ต้องเริ่มต้นกันเองที่โรงเรียน ในขณะที่โรงเรียนของรัฐเปรียบเหมือนมีบันไดเลื่อน อย่างเพลินพัฒนาเป็นภาคีกับโรงเรียนของครูอิ่ม ก็เป็นภาคีนอกระบบ ต่างกับครูอิ่มที่มีภาคีในระบบมากมาย มีมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยง ฯลฯ
ครูอิ่ม…เห็นด้วยกับครูใหม่ว่าผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญในการจัดกระบวนการเรียนการสอนแบบนี้ เพราะไม่เกิดเฉพาะในห้องเรียน แต่ต้องเกิดขึ้นตลอดเวลา แรกๆ ก็มีผู้ปกครองมาถามว่าทำไมเราสอนคอมพิวเตอรฺ์ไม่เหมือนคนอื่น เราก็ต้องอธิบายว่าไม่มีใครเรียนรู้วิธีการใช้โทรทัศน์ คอมฯ สมัยนี้ก็เหมือนการใช้โทรทัศน์ เป็นอุปกรณ์ในยุคของเขา เราจึงสอนให้เขาเป็นคนควบคุม เป็นผู้ใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เราพยายามทำลายกำแพงห้องเรียน ถ้าผู้ปกครองยังมีกำแพงก็จะเป็นอุปสรรคค่ะ
ส่วนการได้รับการสนับสนุนมาก แต่ก็เห็นว่าในระยะหลังมานี้มีโครงการให้ความช่วยเหลือร่วมกับเอกชนมากขึ้น และการที่มีภาคีมากขึ้นก็จะได้โอกาสเรียนรู้มากขึ้น แต่หลายหน่วยงานยังไม่สามารถเจาะเข้าไปสู่โรงเรียนเอกชนได้
ครูเหล่น…ในฐานะบุคลากร การที่จะไปสู่จุดหมายด้วยกัน แต่บุคลากรมีความแตกต่างกัน สื่อสารไม่เข้าใจกัน ทำให้ต้องใช้การประชุมกัน และในการจัดการดูแลเด็กที่แต่ละคนมีความหลากหลาย การที่เด็กมีความหลากหลายก็เพราะมาจากครอบครัวที่มีความหลากหลาย ก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ปกครองมาก
ครูส้ม…อันที่จริงวันนี้มาเป็นคณะทำงานของโรงเรียนเพลินพัฒนา แต่ตอนนี้จะขอเวลา ๑ นาที เพื่อตอกหมุดความมั่นใจว่าเรามาถูกทาง ในฐานะที่เป็นผู้ปกครองที่ลูกเรียนด้วยกระบวนการอย่างนี้ จนจบ และในรุ่นของเขาก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ทุกคน เมื่อจบออกมาทำงาน แม้ในสาขาที่ลูกเรียนไม่ได้สอนการบริหารจัดการ แต่เขาก็สามารถนำทักษะที่เคยทำกระบวนการกลุ่ม ทักษะการจัดการโครงงาน โลกทัศน์จากการออกภาคสนาม มาใช้ในการทำงานกับรุ่นพี่ๆ ได้จนได้รับความไว้วางใจให้รับผิดชอบงานเกินกว่าอายุได้ เลยขอมาให้ความมั่นใจค่ะ
ไม่มีความเห็น