ผู้ฟัง…ดิฉันเป็นพยาบาล เรียนนวดไทย เอาเด็ก ป.๔ ถึง ม.๑ มาฝึกอบรมเรื่องนวดเท้า แล้วเมื่อเด็กกลับไปบ้านก็ไปนวดให้ผู้ปกครอง มีบางท่านตามมาถึงที่ฝึกอบรมเลย บอกว่าเด็กคนนี้ไม่เคยพูดกับท่านผู้นี้เลย แต่ตอนนี้เขาพูดด้วยแล้ว เพราะได้นวดให้แล้วท่านผู้นี้ให้ทิปไป ๒๐ บาท เด็กดีใจมาก ตั้งแต่นั้นก็มีการพูดคุยกัน แต่ที่ผู้ถามมีความกังวลใจคือเมื่อเราพาเด็กเป็นกลุ่มออกไปฝึกงาน ไปนวดตามงานต่างๆ ก็มานึกถึง “แรงงานเด็ก” ไม่ทราบว่าจะมีปัญหาด้านกฎหมายอะไรหรือเปล่า ฝากถามว่าอาจารย์มองอย่างไร
ครูใหม่…เท่าที่ฟัง ประเด็นแรกที่จะนึกถึง ไม่ใช่แรงงานเด็ก แต่เป็นเรื่องของภูมิปัญญาไทย ที่ถ่ายทอดผ่านจากรุ่นสู่สรุ่น และการสร้รางความสัมพันธ์ผ่านร่างกาย ซึ่งเป็นการเปิดประตูด้วยการสัมผัสทางกาย ฟังแล้วยังตาลุกเลยว่าอยากขอเชิญท่านมาเป็นวิทยากรให้เด็กๆ ที่โรงเรียนบ้าง เพราะการที่เขาได้เห็นฤทธิ์ของการทำงานด้วยกาย มันสร้างสัมมาทิฐิ ไม่งั้นเด็กมักจะอยู่กับควาามคิดจนฐานกายหายไปหมด อีกทั้งเรื่องของสปาก็เป็นอนาคตของชาติในความคิดของรัฐบาลชุดที่แล้ว ถ้าทุกคนรู้ไว้ก็ไม่เสียหาย การที่เราไปนวดเขาก็เป็นการดูแลเอาใจใส่เขา ไม่ว่าจะรู้จักกันหรือไม่ก็เหมือนการแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ เป็นประตูเปิดสู่การมีจริยธรรมอย่างสูง และยิ่งถ้าเขามีความชำนาญจนถึงขั้นรักษาได้ มันก็จะยิ่งเพิ่มความใหญ่ขึ้นไปอีก เลยมองข้ามประเด็นอื่น แต่มองถึงประเด็นการเรียนรู้จากรุ่นสู่รุ่นมากกว่า และถ้าเขายังคงอยู่ในการศึกษาก็คืออยู่ในระบบโรงเรียน อันนี้ก็ไม่น่าจะมีใครมาเอาผิดได้
ครูอิ่ม...ฟังครูใหม่พูดแล้วนึกถึงคำว่า Powerful Learning เรื่องแรงงานเด็กกลายเป็นจุดเล็กๆ ไกลมาก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือพลังที่เกิดขึ้นในใจของคนที่เกี่ยวข้องทุกๆ คน ที่เกิดจากการเรียนรู้ของเด็กๆ มากกว่า
ครูปาด...ขอความเห็นเรื่องแรงงานเด็ก ครูที่เล่นเรื่อง Active Learning มาตลอดก็น่าจะเห็นพ้องกันว่าการเรียนแบบนี้นั้น เมื่อถึงจุดแล้วจะเป็นการงานจริง และการงานจริงมันคือพื้นที่ ที่สามารถนำมาทำเป็น Active Learning ได้อย่างเต็มรูปแบบ และมันทลายกรอบสมมุติของการเรียนรู้ในเชิงโรงเรียนลง และพาเข้าสู่ชีวิตจริง โดยส่วนตัวผมกับทีมคิดว่าการงานเป็นพื้นที่การเรียนรู้ที่ดีที่สุด เด็กควรจะได้ทำงาน แต่เราก็ต้องแยกให้ออกว่า กฎหมายแรงงานเป็นห่วงในเรื่องการนำเด็กไปทำงานที่ไม่สร้างสรรค์ ในเวลาที่ไม่เหมาะสม ปริมาณงานที่ไม่เหมาะสม และในเงื่อนไขที่ทำร้ายเด็ก แต่ถ้าไม่ใช่เงื่อนไขพวกนี้ ผมก็คิดว่าการงานน่าจะเป็นการเรียนรู้ที่ดีที่สุด
ประมาณปี ๒๕๔๒ ที่พรบ.การศึกษาใหม่จะออกแต่ยังไม่ออก ตอนนั้นพวกเรายังอยู่ในโรงเรียนเก่าที่เป็นโรงเรียนที่บุกเบิกวิธีคิดการเรียนการสอนแบบนี้ พรบ.ยังไม่ออกแต่เราก็ตัดสินใจ เมื่อมีผู้ปกครองมาถามว่า เขามีโรงงานฟอร์นิเจอร์ อยากเอาเด็กไปฝึกงานไหม พวกเราตาวาวเลยไม่สน พรบ.แรงงานแล้ว พาเด็กไปฝึกงาน ไปอยู่กันหลายวันไปกินนอนกันจริงๆ เป็นเด็กมัธยมต้น และเมื่อ พรบ.ออกมาก็เห็นว่าสอดคล้องกับแนวทางของเราอยู่ ระยะหลังมานี้ก็เห็นท่าทีของรัฐบาลดีขึ้น เช่น โครงการให้นักเรียน นักศึกษาออกไปทำงานภาคฤดูร้อน ซึ่งกรณีนี้ก็ล่อแหลมกับเรื่องกฎหมายแรงงาน แต่ก็น่าจะแยกออกจากเรื่องของการศึกษาหรือการพัฒนามนุษย์ได้ เพราะ Active Learning กับการงานเป็นเรื่องที่แยกออกจากกันไม่ได้
ครูใหม่… ขณะนี้ได้เวลาอาหารกลางวันพอดี จึงขอเชิญไปรับประทานอาหารและกลับมาพบกับ Active Learning กันในภาคบ่ายนี้นะคะ
ไม่มีความเห็น