จากบันทึกที่แล้ว เก็บตกวิทยากร (62) : ติดอาวุธทางความคิด (ว่าด้วยเรื่องสัตว์หลากชนิด) –
คราวนี้ก็ถึงประเด็นการติดอาวุธทางความคิดในเรื่องของการจัดกิจกรรมเรียนรู้ในชุมชน โดยกระบวนกรคราวนี้ก็คือ คุณสุริยะ สอนสุระ ผู้ซึ่งผมเรียกขานว่า “นวัตกรรมข้ามคืน”
เดิมประเด็นทำนองนี้ ผมจะเป็นผู้รับหน้าที่ผ่องถ่ายความรู้และประสบการณ์เสียมากกว่า หากแต่ในระยะปีสองปีให้หลังมานี้ ผมไหว้วานให้ “เจ้ายะ” ทำหน้าที่ตรงนี้ เพราะคิดว่าได้เวลาที่เขาจะต้องรับช่วงต่อจากผม และใช้ประเด็นนี้ในการพัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ
ประเด็นหลักที่นำมาบอกเล่าแก่นิสิต ยังคงใช้กรอบแนวคิด “9 ข้อการจัดกิจกรรมเรียนรู้ชุมชนบนฐานวัฒนธรรมชุมชน” อันเป็นข้อคิดข้อเขียนที่ผมสังเคราะห์ขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หากไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป นัก ผมก็คิดว่าสาระที่ว่านั้น “ยังร่วมสมัย” และมีกลิ่นอายความเป็น “กิจกรรมนอกหลักสูตร” อยู่เต็มตัวเลยทีเดียวแหละ นั่นคือ
เท่าที่ผมสังเกตการณ์และประเมินผ่านมุมมองของตนเอง ผมว่าคุณสุริยะ หรือ “เจ้ายะ” อดีตหัวหน้างานกิจกรรมนิสิต รับบทบาทนี้ได้ดี “คม ชัด ลึก” และที่สำคัญคือ “กระชับ-ตรง” สมแล้วที่เติบโตมาจาก “สายวิทย์”
และสไลด์ที่นำมาเสนอนั้น ก็มีภาพประกอบทุกสไลด์ ช่วยให้นิสิตมองเห็นภาพอันเป็นเนื้อหาที่กำลังสื่อสาร หรือกระทั่งช่วยให้นิสิตได้เกิดแรงบันดาลใจตามรูปภาพ – เกิดความกระหายที่จะเป็น “คนค่าย” ที่มีคุณภาพเหมือนเช่นที่ปรากฏในภาพ
ไม่แต่เฉพาะประเด็นข้างต้นเท่านั้น แต่เจ้าตัวยังเสริมหนุนด้วยแนวคิดอื่นๆ ในเชิง “แนวปฏิบัติและข้อพึงระวังในการไปค่ายอาสาพัฒนา” โดยน่าจะประมวลมาจากฐานคิดอันเป็นประสบการณ์ของเขาเอง
ผมนั่งฟัง – ผมมองเห็นถึงกลิ่นอาย “กฎค่าย” หรือกฎกติกาของค่ายอาสาพัฒนาไปในตัวอย่างไม่ต้องกังขา
จะว่าไปแล้ว ในประเด็นนี้ จะไม่พูดเลยก็ยังได้ เพราะนิสิตหลายคนอาจกำลังย้อนแย้งในใจว่า “รู้แล้วๆ ไม่พูดก็ได้-เสียเวลาเปล่าๆ”
แต่สำหรับผมและทีมงานกลับมองว่า “รู้แล้ว-ก็จำเป็นต้องพูดและนิสิตก็จำเป็นต้องฟัง”
อย่างน้อยจะได้เตือนความจำอีกรอบ และเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า "เราได้บอกกล่าวเล่าความแล้วนะ-ขึ้นอยู่กับว่า นิสิตจะเปิดใจรับรู้ หรือตระหนักรู้แค่ไหน”
ใช่ครับ – ผมกำลังจะบอกว่า นิสิตก็ยังเป็นเด็ก - เด็กก็คือเด็ก การบอกย้ำถี่ๆ อย่างมีศิลปะยังจำเป็นเสมอสำหรับการเรียนรู้ ยิ่งออกไปเรียนรู้กับชุมชน ยิ่งต้องเติมเต็มความคิด สะกิดเตือนให้เขาตื่นตัว และมีความพร้อมที่จะก้าวไปสู่การเรียนรู้ มิใช่ “ปล่อยไปตามมีตามเกิด”
ครับ – เท่าที่ผมจับใจความได้ในประเด็นที่นอกเหนือจากเนื้อหาที่ผมสังเคราะห์ขึ้น คุณสุริยะ ได้สะท้อนมุมมองเชิงการนิยามความหมาย หรือสถานะของค่ายอาสาพัฒนาอยู่หลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็น
แน่นอนครับ ฟังดูอาจมองว่าเป็น “เรื่องพื้นๆ” แต่สำหรับผมยืนยันว่า “สำคัญ” มาก –
ครับ – สำคัญมาก "ไม่พูดไม่ได้ ยังไงๆ ก็ต้องพูด พูดแล้วจะถูกมองว่าน่าเบื่อน่ารำคาญก็ต้องพูด"
แม้พูดแล้วไม่มีใครฟังก็ช่างเถอะ อย่างน้อยเราก็แสดงเจตนารมณ์แล้วว่า “เราใส่ใจนิสิต” และเราก็อยากให้นิสิตใส่ใจต่อการจัดค่ายอาสาพัฒนาในมิติ “เรียนรู้คู่บริการ” ได้อย่างถูกต้อง หรือเหมาะสมกับบริบทของชุมชนนั้นๆ นั่นเอง
สำหรับผมแล้ว ผมไม่ได้แต่งเติมอะไรต่อจากที่คุณสุริยะมากมายนัก เพราะคิดว่า "ครบถ้วนแล้ว" ได้แต่ย้ำว่า สิ่งเหล่านี้คือแนวคิด-ทฤษฎี จะเกิดผลในเชิงความรู้และทักษะหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่านิสิตจะทำไปใช้ในค่ายหรือไม่ ใช้อย่างจริงจังแค่ไหน หรือมีกระบวนการในการประยุกต์ใช้ได้ดีแค่ไหน ต่อเนื่องแค่ไหน -
ทุกอย่างมันอยู่ที่ความตั้งใจ หรือต้นทุนของแต่ละบุคคล
เวที : วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563
เขียน : วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563
ณ ศูนย์ประสานงานเครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ไม่มีความเห็น