Observational measurement (1) เป็นเครื่องมือสำคัญของการดำรงชีวิตตามปกติ และต่อนักวิชาการ/นักวิจัย โปรดอ่านบทความที่ลิ้งค์ไว้ให้ จะได้รายละเอียด
ผมคิดมานานแล้วว่า วงการวิชาการมักไม่ให้ความเชื่อถือต่อการสังเกตของปัจเจกบุคคล แต่ในชีวิตจริงคนเรามีชีวิตที่ดีได้ต้องรู้จักสังเกต และต้องฝึกตัวเองให้เป็นคนช่างสังเกต โชคดีที่ผมซึ่งเป็นคนสมองปานกลาง รู้จักและเห็นคุณค่าของการสังเกตมาตั้งแต่เด็กๆ สมัยเด็กผมมักถามตัวเองว่า เรื่องนั้นทำไมผมไม่สังเกตเห็น แต่พ่อของผมเห็น และหมั่นสั่งสอนตนเองให้ฝึกความสามารถด้านการสังเกตให้ดียิ่งขึ้น
เมื่อเป็นอาจารย์แล้ว ผมบอกตนเองว่าความช่างสังเกตมันมีพื้นฐานที่การมีความรู้ที่กว้างขวางลึกซึ้งด้วย การอ่านและการมีประสบการณ์ตรง เป็น “ข้อมูล” ที่สั่งสมไว้ เอาไว้ดักจับความรู้ที่ได้จากการสังเกต วิธีดักจับคือตั้งคำคามว่าสิ่งที่สังเกตเห็นมันมีความหมายอะไร มันบอกอะไร ในด้านนั้นด้านนี้ “ช่างสังเกต” ในสายตาของผม มีสองชั้น (จริงๆ แล้วน่าจะมีหลายชั้นมาก แต่ผมเข้าใจแค่นี้) ชั้นแรกเป็นการเก็บข้อมูลจากเหตุการณ์ การทำงาน หรือทำกิจกรรมใดก็ตาม (เช่นการอ่าน) คนที่เก็บรายละเอียดได้มาก เรียกว่าเป็นตนช่างสังเกต ชั้นที่สองเป็นการ “ย่อย” ข้อมูลที่เก็บได้นั้น เพื่อหาความหมาย คนที่คิดเก่ง น่าจะเรียกว่าเป็นคน “ช่างคิด”
กลับมาที่ observational measurement ตามในลิ้งค์ เป็นเรื่องของเครื่องมือวิจัย ที่จะทำให้ข้อมูลจากการสังเกตมี validity หรือความน่าเชื่อถือ จึงต้องมีการสร้าง “เครื่องมือ” ช่วยการสังเกต เครื่องมืออยู่ในตารางที่ ๑ อ่านคร่าวๆ แล้ว เห็นได้ชัดว่า เครื่องมือนี้ช่วยการวิจัยเชิงพฤติกรรมได้มากทีเดียว
แต่ผมกลับมองว่า หลักการเหล่านี้ ใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย หากถือตามในตารางก็เท่ากับหมั่นฝึกตนเอง ที่เป็น naïve observer ให้เป็น expert observer ขึ้นทีละน้อยๆ
วิจารณ์ พานิช
๒๒ ต.ค. ๖๒
บน TG 910 ไปลอนดอน
ไม่มีความเห็น