บันทึกชุด สู่การศึกษาคุณภาพสูงนี้ ตีความจากรายงานของธนาคารโลก ชื่อ World Development Report 2018 : Learning to Realize Education’s Promise (1) ที่มีการค้นคว้ามาก และเขียนอย่างประณีต เป็นเอกสารด้านการศึกษาที่มีประโยชน์ยิ่ง ผมเขียนบันทึกชุดนี้เสนอต่อคนไทยทั้งมวล ให้ร่วมกันหาทางนำมาประยุกต์ใช้ในการกอบกู้คุณภาพการศึกษาไทย
บันทึกที่ ๗ นี้ ตีความจาก Part III : Innovations and evidence for learning ส่วน Spotlight 4 Learning about learning และ Chapter 5 : There is no learning without prepared, motivated learners ซึ่งอยู่ในรายงานหน้า ๑๐๗ – ๑๓๐
จะให้มีการศึกษาคุณภาพสูง ต้องมีการเตรียมผู้เรียน ตั้งแต่ในครรภ์มารดาจนถึงวัยก่อนเข้าโรงเรียน กิจกรรมเตรียมผู้เรียนนี้ต้องเอาใจใส่มากที่สุดในกลุ่มพ่อแม่ยากจน เป้าหมายคือให้เด็กได้รับโภชนาการดี ได้รับการกระตุ้นจากการเลี้ยงดู และได้รับการดูแลกระตุ้นพัฒนาการอย่างถูกต้อง ในช่วงเด็กเล็กหรือวัยก่อนเข้าโรงเรียน โดยมีหลักฐานว่า การสอนหนังสือหรือวิชาการในวัยนี้ก่อผลเสียมากกว่าผลดี
รายงานระบุปัจจัยสำคัญที่สุด ๓ ประการในการยกระดับการเรียนรู้ คือ
ทำความเข้าใจเรื่องการเรียนรู้ และหลักการดำเนินการพัฒนาการเรียนรู้
ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้สองด้านกำลังพัฒนาคู่กันไป ได้แก่ความรู้เรื่องกลไกการเรียนรู้ของสมอง (cognitive neuroscience) กับความรู้เรื่องวิกฤติการเรียนรู้ (learning crisis) หรือเข้าโรงเรียนแต่ไม่เกิดการเรียนรู้ หากนำสองเรื่องนี้มาสังเคราะห์ประเด็นเรียนรู้เข้าด้วยกัน จะเกิดความเข้าใจ “เศรษฐศาสตร์การเมือง” (political economy) ว่าด้วยการนำความรู้สู่การปฏิบัติ หรือว่าด้วยการจัดการ ช่องว่างระหว่างการรู้กับการปฏิบัติ (know – do gap) ในเรื่องการศึกษา
พัฒนาการของความรู้ว่าด้วยกลไกการเรียนรู้ของสมอง นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้าน การจัดการเรียนการสอน การพัฒนาครู และการใช้เทคโนโลยีช่วยการเรียนรู้ รัฐบาลของประเทศต่างๆ เร่งหาทางพัฒนาสามประเด็นหลักนี้ เพื่อยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน จำนวนโปรแกรมการพัฒนานี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก ๑๙ โครงการทั่วโลก ในปี พ.ศ. ๒๕๔๓ เป็น ๒๙๙ โปรแกรมในปี ๒๕๕๙ มีการศึกษาประเมินผลกระทบของโปรแกรมเหล่านี้ออกเผยแพร่มากมาย
คำถามคือ จะเอาความรู้เหล่านี้มาใช้อย่างชาญฉลาด เพื่อยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน หรือเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติการเรียนรู้ ได้อย่างไร
คำตอบคือ อย่าลอกเลียนวิธีการที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลดี ในประเทศอื่น หรือในบริบทอื่น เอามาใช้แบบก๊อปปี้วิธีการ เพราะโอกาสล้มเหลวจะสูงมาก
คำแนะนำในรายงานคือ ให้อ่านรายงานผลการประเมินโครงการนั้นๆ แล้วตั้งคำถามว่า รายงานนั้นบอกหลักการ(principle) อะไร ที่นำไปใช้ได้ผล วิธีทำความเข้าใจอาจใช้ทฤษฎีหรือโมเดลเข้าไปจับ เช่นเขาแนะนำ “โมเดลพฤติกรรมมนุษย์” (model of human behavior) ซึ่งมี ๒ ขั้นตอนคือ (๑) การสังเคราะห์ผลของหลายรายงาน จากหลายโปรแกรมที่เกิดผลดี เพื่อหารูปแบบ (pattern) ที่ตรงกันในทุกโปรแกรมหรือหลายโปรแกรม (๒) เอาทฤษฎีเข้าไปจับ (ในที่นี้คือทฤษฎีพฤติกรรมมนุษย์) เพื่ออธิบายว่า ทำไมบางวิธีการจึงให้ผลดี แต่บางวิธีการล้มเหลว
รายงานเตือนว่า เรื่องการเรียนรู้ของผู้เรียนมี “ตัวละคร” มากกว่าที่เราคิด คือไม่ใช่แค่นักเรียนกับครู ยังมีตัวละครอื่นๆ อีกมากมาย ที่มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อน ดังแสดงในรูป S4.2 ในรายงาน และคัดลอกมาแสดงข้างล่าง
เขาแนะนำให้คำนึงถึงบริบทของปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเหล่านี้ ในการตีความผลการประเมินการเรียนรู้ในแต่ละโปรแกรมด้วย และเมื่อคำนึงถึงพฤติกรรมมนุษย์ ก็ต้องคำนึงถึงพฤติกรรมการโกงด้วย พฤติกรรมนี้มีอยู่ดาษดื่นในกิจกรรมต่างๆ ของระบบการศึกษาไทย
ลงทุนในเด็กเล็ก เป็นการเตรียมผู้เรียนในโรงเรียน
การลงทุนต่อเด็กเล็ก เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงยิ่งกว่าการลงทุนในช่วงที่เด็กเข้าโรงเรียน โดยเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ครอบครัวยากจน ซึ่งต้องดำเนินการร่วมกันโดยหลายวงการ คือวงการสุขภาพ วงการพัฒนามนุษย์ วงการศึกษา และวงการอื่นๆ หากทารกในครรภ์และเด็กเล็ก ไม่ได้รับการดูแลที่ดีพอในด้านโภชนาการ การเลี้ยงดู และกระตุ้น การได้เล่นและฝึกสังคมกับเพื่อนๆ และปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งเป็นการวางพื้นฐานพัฒนาการเด็ก ก็เท่ากับเด็กได้ผ่านวัยนี้ไปโดยสูญเสียโอกาสในการพัฒนาพื้นฐานที่แข็งแรง สำหรับการเรียนรู้ตอนเข้าโรงเรียน โดยที่พื้นฐานเหล่านี้ส่วนใหญ่พัฒนาก่อนอายุครบ ๓ ขวบ
มองในภาพรวมของประเทศ การดำเนินการของภาครัฐเพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กเล็ก ต้องเน้นที่เด็กในครอบครัวยากจน ซึ่งเด็กอาจต้องเผชิญสภาพปัญหาสารพัดเรื่อง ที่ปิดกั้นพัฒนาการเด็ก หรือทำลายศักยภาพของเด็ก ซึ่งหลายส่วนอาจเกิดจากปัญหาในครอบครัว ทำให้เด็กขาดอาหาร ได้รับการกระตุ้นน้อย หรือขาดความรักความเอาใจใส่ อาจมีบาดแผลทางใจหรือทางอารมณ์ที่เกิดจากความรุนแรงในครอบครัว เป็นต้น
วิธีดำเนินการของภาครัฐที่ดีที่สุดคือจัดให้บริการศูนย์เด็กเล็กที่มีคุณภาพ โดยต้องตระหนักว่า ศูนย์เด็กเล็กที่ไร้คุณภาพ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ดูแลเด็ก) อาจเป็นโทษต่อเด็ก มากกว่าเป็นคุณ และเด็กที่จะได้รับประโยชน์จากการจัดการดูแลพัฒนาการเด็กเล็กมากที่สุดคือเด็กจากครอบครัวยากจน หรือครอบครัวยากลำบาก
การจัดการศูนย์เด็กเล็กแบบเน้นกฎระเบียบ และจัดการเรียนรู้อย่างจริงจัง จะก่อผลร้ายทั้งต่อการพัฒนาทักษะการคิดและเรียนรู้ ทักษะทางสังคมและอารมณ์ รวมทั้งทำลายความใฝ่รู้ เพราะในวัยนี้เด็กเรียนรู้ได้ดีที่สุดจากการสำรวจ การเล่น และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยเป้าหมายของการพัฒนาพื้นฐานของเด็กวัยนี้ได้แก่ ความมั่นคงทางอารมณ์ ความอยากรู้อยากเห็น ภาษา และการกำกับตัวเอง
กิจกรรมของศูนย์เด็กเล็กนอกจากมีเป้าหมายพัฒนาเด็กแล้ว ยังต้องพัฒนาพัฒนาครูเด็กเล็กด้วย ให้มีทักษะในการจัดห้องเรียนให้ส่งเสริมสัญชาตญาณอยากรู้อยากเห็นของเด็ก ควรมีบริการ โค้ชชิ่งแก่ครูเด็กเล็กอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อให้การพัฒนาเด็กเล็กดำเนินการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง มีทรัพยากรสนับสนุนอย่างจริงจัง ระบบดูแลพัฒนาเด็กเล็กควรบูรณาการอยู่ในระบบการศึกษา น่าภูมิใจที่ระบบของประเทศไทยกำลังก้าวหน้าไปในทางนี้ หากได้มีการพัฒนาคุณภาพของครูเด็กเล็ก และให้ค่าตอบแทนสูงแก่ครูเด็กเล็กที่ได้พิสูจน์ผลงานเป็นที่ประจักษ์ ก็จะช่วยให้การปูพื้นฐานเด็กไทย เข้าสู่การศึกษาที่ให้ผลลัพธ์การเรียนรู้สูง
เด็กไปโรงเรียน ไม่ได้หมายความว่าเด็กได้เรียนรู้เสมอไป
มีผลการวิจัยบอกชัดเจน ว่าการได้เข้าโรงเรียน ดีกว่าไม่ได้เข้าโรงเรียนอย่างแน่นอน แต่ผลการเรียนรู้ของนักเรียนในประเทศต่างๆ แตกต่างกันมาก รวมทั้งในชั้นเรียนเดียวกัน เด็กก็ได้เรียนรู้ต่างกันมาก ดังกล่าวแล้ว
เพื่อให้เด็กเอาใจใส่การเรียน ต้องมีวิธีสร้างแรงจูงใจ ซึ่งมีหลากหลายวิธีการหรือปัจจัยได้แก่
การเรียนรู้ของเด็ก ไม่ได้เกิดเฉพาะที่โรงเรียนเท่านั้น ชุมชนต้องจัดกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้นอกห้องเรียน ให้แก่เด็กในชุมชนด้วย เพื่อช่วยให้การเรียนรู้เชื่อมโยงกับชีวิตจริง และเพื่อฝึกฝนจิตสาธารณะผ่านการเรียนผ่านบริการชุมชน (service learning) เรื่องนี้ประเทศที่มีระบบการศึกษาคุณภาพสูง มีการจัดจัดกิจกรรมให้เด็กได้ทำและเรียนรู้เข้มข้นมาก ผมเรียกกิจกรรมนี้ว่า ขบวนการเพื่อการเรียนรู้ สองในสาม โดยยกตัวอย่างการดำเนินการในประเทศฟินแลนด์ (๓)
คุณค่าของ “การศึกษาเสริม”
ในรายงานเรียกการศึกษาส่วนนี้ว่า remedial education ซึ่งหมายถึงการจัดการเรียนรู้เสริมให้แก่เด็กที่เรียนไม่ทันนั่นเอง ผมได้เขียนเรื่องการจัดการเรียนรู้เสริมในระบบการศึกษาของฟินแลนด์ ที่เขาเรียกว่า “การศึกษาพิเศษ” (special education) ที่ (๒)
รายงานนี้เสนอแนวทางจัดการศึกษาเสริม ๓ รูปแบบ แก่ผู้เรียนใน ๓ สถานะ ได้แก่
วิจารณ์ พานิช
๒๒ มิ.ย. ๖๒
ห้อง ๗๓๑๓ โรงแรม เดอะ ริเวอร์รี เชียงราย
ไม่มีความเห็น