เราคงเคยได้ยินคำเปรียบเปรยที่ว่า “การอ่านคนเหมือนอ่านหนังสือ” กว่าจะจบ กว่าจะรู้เรื่อง กว่าจะตีความ กว่าจะรู้สึกว่า สนุก ดี ไม่ดี เราต้องใช้เวลาทั้งนั้น ก็คงไม่ผิดเนาะ เพราะในชีวิตใครหลายคนคง เคยคิดแบบนี้เหมือนกัน เรารู้จักใครมาเราก็ต้องดูเขาให้ออกว่า เราเป็นอย่างไร เขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ไม่ใช่เพราะจะคอยเอาใจเขา แต่เพราะจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่ว่ จะอยู่ในสถานะใด ก็ตาม
การที่เราจะรู้จักใครคนหนึ่ง บอกเลยไม่ยากและไม่ง่าย….ใน 6 ปี ที่ผ่านมาเราลองนึกสิว่าเรารู้จักใครอย่างถ่องแท้แล้วบ้าง…..ตัวอย่าง 1 ฉันเจอหนังสือเล่มหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ หนังสือเล่มนี้มีการวางเพื่อให้ฉันเห็นอย่างเด่นชัดเพื่อการหยิบฉวยมาอ่าน หากตามความรู้สึกอ่านไม่ยาก และคาดเดาได้ว่า น่าจะ แต่เพราะเราตัดต่อภาพ ตัดต่อความคิดเรา แบบลำเอียงจึงมีข้อแย้งตลอดเมื่อเจอสิ่งที่ ไม่ชอบ มีข้ออ้างให้เขาพ้นผิดตลอด มาวันหนึ่ง เราพบว่ าเขาคนนั้น เป็นแบบที่เราเคยได้ยินมาจริง ๆ และเมื่อเข้าไปใกล้ ยิ่งมากกว่าที่เคยได้ยิน แต่เพราะความสำเอียงของเรา จึงพยายามมองข้ามสิ่งนั้นไป เขาอาจจะอย่างนั้น เขาอาจจะอย่างนี้ “ความศรัทธาที่เคยมี” เริ่มหายไปกับสิ่งที่ได้เห็นและรับรู้ ไม่ได้บอกว่า เขาไม่ดี เขาดี แต่ดีในแบบของเขาที่ไม่ใช่ของเรา ดีในมุมของเขาที่ไม่ใช่ของเรา ((แต่หากนิยามคำว่าดีของคนทั้งโลกเป็นแบบนี้ข้าพเจ้าว่า คนชั่วไม่มีในโลกใบนี้)))
การพยายามมองแบบลำเอียงของข้าพเจ้า มันส่งผลให้เสียความรู้สึกหลายรอบ แต่ยังไม่เท่ากับ #เสียศรัทธากับสิ่งที่เจอ ความลำเอียงของเราทำให้เราไม่ได้อ่านหนังสือนั้นแบบเต็ม ๆ อ่านแบบผ่าน ๆ แค่สิ่งฉาบฉวย อ่านหัวข้อไม่อ่านเนื้อในอย่างละเอียด จึงเป็นเช่นนี้
ข้าพเจ้าเจอบทเรียนสุดท้ายกับหนังสือเล่มนี้ว่า #อย่ามองแค่หน้าปกและภาพที่เขาใส่ลงไปแล้วหุ้มพลาสติกไว้ เพราะมันจะทำให้เราหลงคิดไปได้ว่า หนังสือดี
ไม่มีความเห็น