ผมนอนผวากับเสียงไฟปะทุ เสียงฟู่ๆลู่ลมมาได้ยินชัดเจน เสียงลำต้นและใบอ้อยกระทบไฟร้อนแตกสะท้อนไปทั้งป่าที่คั่นกลางระหว่างไร่อ้อยกับบ้านผม ห่างจากบ้านผมราว ๔๐๐ เมตร..ในยามที่มืดมิดเช่นนี้ สัมผัสได้เพียงกลิ่นควันไฟที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่าง...
ตื่นเช้าขึ้นมาก็ต้องเก็บกวาดขี้เถ้าที่ปลิวคลุ้งอยู่หน้าบ้าน จากนั้นก็ไปโรงเรียน..ระหว่างการเดินทางมองซ้ายขวาก็พบไร่อ้อยที่โล่งเตียน หลังจากที่เผาไปแล้วเมื่อหลายวันก่อน
มองไกลออกไป..ภาพเดิมๆที่ไม่แตกต่างจากวันวาน ควันโขมงลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วจับตัวเป็นกลุ่มก้อนสีดำแล้วทอดตัวยาว ลอยตัวอ้อยอิ่ง เหมือนจะรอกลุ่มควันจากไร่อ้อยอีกฟากหนึ่ง ที่จุดพร้อมกันในตอนฟ้าสาง..
ผมยังเดินทางไม่ถึงโรงเรียน..ราวเจ็ดโมงครึ่ง..ท้องฟ้าเริ่มหลัว ยิ่งใกล้โรงเรียนก็เหมือนมีหมอกควันปกคลุมไปทั่ว..ดูมืดมัวชอบกล..
เลี้ยวรถเข้าโรงเรียนพร้อมกับความคิดที่ว่า..ไร่อ้อย..ถูกเผาน้อยลงจริงๆ ..ลดลงไปในความรู้สึก แต่เชื่อว่ามีมากกว่าครึ่ง..ยังเผาอยู่
ผมหยุดรถหน้าโรงเรียน..ฝั่งตรงข้ามมีต้นอ้อยสีดำเกือบ ๓๐ ไร่ มีควันไฟคุกรุ่น เจ้าของไร่อ้อยหรือไม่ก็คนที่เช่าที่ จุดไฟเผาเมื่อราวๆตีห้าที่ผ่านมา..
ควันจากไฟที่สุมขอนไม้ใกล้ถนนพัดเข้าไปในโรงเรียน บางส่วนยังแดงวูบวาบน่ากลัว..ผมรู้สึกหวาดวิตกและรู้สึกหนาวสะท้านเหมือนจะเป็นไข้...
ผมคิดไปไกลเลยว่าจะต้องเจอกับอะไร? ผมกับนักเรียนต้องเหนื่อยหนักกับอะไรในเช้าวันนี้..ผมเดินสำรวจไปทั่วบริเวณโรงเรียน..ก่อนที่จะลงมือปฏิบัติงาน..
ห้องเรียนและหน้าอาคาร โรงอาหารและห้องสมุด ถนนและสนามกีฬา ดูมืดดำไปหมดด้วยขี้เถ้าจากใบอ้อย..ผมกับนักเรียนช่วยกันเก็บกวาด..ทำเท่าที่จะทำได้ เพราะถึงอย่างไร..ก็กวาดไม่หมดต้องหยุดพักบ้าง แต่พวกเขาไม่เคยหยุดเผาเลย..
ผมมองดูนักเรียนที่กำลังไปล้างมือที่สระน้ำ เสียงตามสายจากเทศบาลถ่ายทอดข่าวจากวิทยุกระจายเสียงกรมประชาสัมพันธ์บอกเล่าเรื่องหมอกควันที่กรุงเทพฯเข้าสู่ภาวะปกติ...
ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์รัฐมนตรีที่มีความเป็นห่วงสถานการณ์ควันไฟในต่างจังหวัด..ที่ยังมีให้เห็นกระจัดกระจายไปทั่ว..ผมอุ่นใจแล้วที่ภาครัฐก็รับรู้เรื่องนี้
จบข่าวจากวิทยุกระจายเสียง..ต่อด้วยข่าวประชาสัมพันธ์จากเทศบาล เสียงเจ้าหน้าที่อ่านหนังสือราชการของ ผวจ.กาญจนบุรีมีมาตรการขั้นเด็ดขาด อันเนื่องมาจาก..หมอกควันเริ่มฟุ้งไปทั่วเมืองท่องเที่ยว..
เทศบาลประกาศย้ำถึงสองครั้ง ถึงมาตรการขอความร่วมมือและมาตรการทางกฎหมาย..ที่จะเอาผิดผู้ที่ฝ่าฝืน..โดยเฉพาะผู้ที่เผาไร่อ้อยสร้างมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อม...
ผมมีความสุขที่เห็นนักเรียนเดินไปเข้าแถวอย่างพร้อมเพรียง..แทนที่จะก่นด่าหรือจองเวรคนที่เผาไร่อ้อยหน้าโรงเรียน หรือผมอาจคิดได้ว่า “โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า...”
บอกตัวเองว่า..เราต้องอดทน..ถึงแม้จะไม่รู้ว่าจะต้องอดทนไปอีกนานแค่ไหน? ก็เขาไม่กลัวกฎหมาย เราจะทำอะไรเขาได้..สงสารแต่ลูกหลานที่เป็นนักเรียนต้องสูดควันพิษ ปีละหลายๆครั้ง
ขอบคุณ “ลุงตู่” ที่พูดเรื่องนี้และคิดจะแก้ไขอย่างจริงจังและจริงใจ..เสียดายที่ท่านอาจจะยังไม่รู้ว่า..ผู้นำทั้งหลายในระดับรากหญ้า..ทำแต่เรื่องประกาศแต่ยังไม่กล้าก้าวออกมาทำเรื่องนี้อย่างจริงจังเลย..หรือว่าพวกเขาเองก็คิดเหมือนกันกับผม..
“..สิ่งใดที่แก้ไขไม่ได้ อย่าไปแก้มัน อย่าไปแก้ในสิ่งนั้น อย่าไปแก้ที่วัตถุ อย่าไปแก้ที่บุคคล เราแก้ที่ใจเรา...”
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๑๕ กพ. ๖๒
การเผานาหญ้าแห้ง … ตรงกับกรณีโค่นต้นมะม่วงกินผล ในพระราชนิพนธ์พระมหาชนก … ตั้งแต่คนเลี้ยงม้า จนถึงอุปราช รวมทั้งเหล่าอามาตย์ ล้วนตกอยู่ในโมหะภูมิ …. ทางแก้ไขมีอยู่…ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย…