หนังสือ A World-Class Education : Learning from International Models of Excellence and Innovation (2012) (1) เขียนโดย Vivien Stewart แนะนำ ๕ ประเทศ สำหรับเป็นแบบอย่างการพัฒนาระบบการศึกษาที่ดี คือ สิงคโปร์ แคนาดา ฟินแลนด์ เซี่ยงไฮ้ (จีน) และออสเตรเลีย ในบันทึกนี้จะเล่าเรื่องการศึกษาของแคนาดา โดยตีความจากหนังสือดังกล่าว
ประเทศแคนาดามี ๑๐ รัฐ (เรียกว่า Province) และ ๓ พื้นที่ (territories) การศึกษาจัดการโดยรัฐ ไม่ใช่โดยรัฐบาลกลาง รัฐที่คุณภาพการศึกษาสูงและยกมาเป็นตัวอย่างคือ Alberta และ Ontario
ในภาพรวม ระบบการศึกษาของแคนาดา คล้ายของอเมริกา แต่ผลการจัดอันดับคุณภาพการศึกษาของแคนาดาสูงกว่าของสหรัฐอเมริกามาก คืออยู่ใน ๑๐ อันดับแรกของโลก (อันดับที่ ๖ ใน PISA 2018) ในขณะที่ของสหรัฐ อันดับที่ ๓๑ ใน PISA 2018 สะท้อนว่า แคนาดาบริหารจัดการระบบการศึกษาได้ดีกว่า
รัฐ Alberta
รัฐอัลเบอร์ต้ามีภูมิศาสตร์เป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ มีพลเมืองเพียง ๓.๕ ล้านคน มีนักเรียนเกือบ ๖ แสนคน ลักษณะพิเศษของระบบการศึกษาที่ทำให้มีคุณภาพสูงมี ๕ ประการ
นอกจากนั้น ครูทุกคนต้องเสนอแผนพัฒนาตนเองประจำปี โดยแผนนั้นจะต้องสอดคล้องกับหลักสูตรของ โรงเรียน และของรัฐ โดยที่ครูเป็นผู้เสนอวิธีการบรรลุแผนพัฒนาตนเอง
กิจกรรมทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ครูมีกระบวนทัศน์เรียนรู้ และพัฒนาทักษะการทำหน้าที่ครูต่อเนื่อง จากการทำหน้าที่ครูนั้นเอง รวมทั้งเกิดวัฒนธรรมการใช้ข้อมูลในการพัฒนาการเรียนการสอนของตน
ผมตีความว่า ชื่อโครงการสะท้อนกระบวนทัศน์ว่า การพัฒนาโรงเรียน (และผู้เรียน) ทำได้ดีที่สุดโดยครู จากการที่ครูทำงานเป็นทีม เพื่อพัฒนาวิธีทำหน้าที่ของตน เป็นการแสดงท่าทีให้เกียรติและเชื่อมั่นครู
สะท้อนภาพการที่รัฐ Alberta มีความคาดหวังสูงต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน และการมีกระบวนทัศน์พัฒนาต่อเนื่องของวงการศึกษา
จากกระบวนการสอบถามความเห็นสาธารณะในปี 2010 นำไปสู่รายงานชื่อ Inspiring Change ในปี 2011 เสนอนโยบาย จัดการศึกษาเพื่อเตรียนเยาวชนสู่อนาคต ไม่ใช้จัดตามอดีตของผู้ใหญ่
รัฐ Ontario
รัฐ ออนทาริโอ เป็นรัฐใหญ่ที่สุดในประเทศแคนาดา มีโรงเรียน ๕,๐๐๐ โรง นักเรียนจำนวน ๒ ล้านคน ในจำนวนนี้ ร้อยละ ๒๗ เป็นผู้อพยพเข้าเมือง ระบบการศึกษาของรัฐนี้จึงมีลักษณะจำเพาะ ที่ประชากรนักเรียนมีความแตกต่างหลากหลายมาก และพัฒนาการของระบบการศึกษา ในช่วง ๒๐ ปีที่ผ่านมา แตกต่างจากของรัฐ อัลเบอร์ต้า โดยสิ้นเชิง
เริ่มจากช่วงทศวรรษที่ 1990s รัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยม จัดระบบทดสอบครู ลดงบประมาณพัฒนาครู และเพิ่มการสนับสนุนโรงเรียนเอกชน เกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับสหภาพแรงงานครู วงการครูถูกสาธารณชนตำหนิ ครูลาออกมาก ส่วนหนึ่งย้ายไปทำงานในโรงเรียนเอกชน
ในปี 2004 เปลี่ยนนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนนโยบายจากเป็นศัตรูมาเป็นมิตรกับครู ยกเลิกการทดสอบครู ทดแทนด้วยการพัฒนาครู เพื่อเป้าหมายยกระดับผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรู้ จัด Ontario Education Partnership Table ดึงทุกฝ่ายในสังคมมาร่วมกันพัฒนาการศึกษา ภายใต้แนวคิดที่เสนอโดย Michael Fullan แห่งมหาวิทยาลัย Toronto ว่าการปฏิรูปการศึกษาแบบ top-down reform จะไม่ส่งผลยั่งยืน เพราะจะเป็นการปฏิรูปที่ผิวหรือเปลือกนอก เข้าไม่ถึงแก่น คือวิธีจัดการเรียนการสอน เพราะคิดว่าครูรู้สิ่งสำคัญในการปฏิรูป ซึ่งในความเป็นจริงครูไม่รู้ นอกจากนั้นครูยังถูกสั่งการให้ดำเนินกิจกรรมเพื่อการปฏิรูปมากกิจกรรมเกินไป รวมทั้งครูไม่ศรัทธาในกระบวนการปฏิรูป ฟังดูคุ้นๆ นะครับ
มีการตั้ง Literacy and Numeracy Initiatives ขึ้นในกระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินการโดยนักการศึกษาที่มีความสามารถ ไม่ใช่ข้าราชการ และกำหนดให้เขตพื้นที่การศึกษา และโรงเรียนต้องตั้งเป้าผลสัมฤทธิ์ของตน รวมทั้งแผนดำเนินการเพื่อบรรลุเป้า ภายในโรงเรียน มีการจัดกิจกรรมพัฒนาครูอย่างคึกคัก เพื่อปรับปรุงการจัดการเรียนการสอน
ในระดับประถมศึกษา มีการเพิ่มครูศิลปะ ดนตรี และกีฬา จำนวนมาก เพื่อให้ครูประจำชั้นมีเวลาเพิ่มพูนทักษะด้านการจัดการเรียนการสอนของตน และมีเวลาเอาใจใส่พัฒนาการเรียนรู้วิชา ทักษะ และคุณลักษณะ ของศิษย์
สำหรับโรงเรียนที่มีความยากลำบากในการพัฒนาตนเอง มีการทุ่มความช่วยเหลือเป็นพิเศษ
ในระดับมัธยมศีกษา มีการจัดตั้ง Student Success Initiative เพื่อค้นหาสัญญาณความเสี่ยงนักเรียนที่จะออกจากโรงเรียนกลางคันตั้งแต่เกรด ๙ เพื่อหาทางช่วยเหลือป้องกันเป็นรายๆ มีทีมดำเนินการในแต่ละโรงเรียน โดยมีระบบข้อมูลให้ติดตาม รัฐบาลให้งบประมาณแก่เขตพื้นที่การศึกษาจ้าง student success leader และแก่โรงเรียนจ้าง student success officer มีมาตรการหลายอย่างช่วยเหลือเด็กที่เบื่อเรียน เช่นจัดวิชาเอกที่เน้นทักษะการทำงาน ร่วมกับบริษัทเอกชน
รัฐบาลจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อส่งเสริมให้ครูมีผลงานยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ของศิษย์ ได้แก่ การปฐมนิเทศครูใหม่ โครงการสมรรถนะครู โครงการประเมินครูที่สมรรถนะ การกำหนดให้ครูแต่ละคนมีแผนพัฒนาสมรรถนะประจำปีของตนเอง โครงการค้นหาครูรุ่นใหม่สมรรถนะสูง โครงการพัฒนาภาวะผู้นำแก่ครูใหญ่ รวมทั้งการปฐมนิเทศครูใหญ่รุ่นใหม่
ภายในเวลา ๖ ปี มาตรการดังกล่าวก็ออกผลเป็นที่ประจักษ์
เขาสรุป Key Success Factors 4 ประการคือ
ข้อท้าทายต่อประเทศแคนาดา
ไม่มีระบบการศึกษาใดในโลก ที่เพียบพร้อมสมบูรณ์ ข้อท้าทายต่อรัฐ อัลเบอร์ต้าคือ สัดส่วนของนักเรียนออกก ลางคันก่อนจบชั้นมัธยมปลาย (เกรด ๑๒) ยังคงสูงกว่าของรัฐ โอไฮโอ ของสหรัฐอเมริกา ส่วนข้อท้าทายต่อรัฐ ออนทาริโอ คือ บรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ระดับธรรมดาได้ดีมาก แต่ผลการทดสอบผลลัพธ์การเรียนรู้ขั้นสูง เช่น การคิดระดับสูง (higher order thinking) ยังบรรลุน้อย นอกจากนั้น รัฐบาลริเริ่มโครงการมากเกินไป ทำให้ครูสับสน (ตรงนี้เราก็คุ้นนะครับ)
ข้อเรียนรู้ต่อวงการศึกษาไทย
ขอย้ำอีกทีว่า ในหนังสือเป็นข้อเรียนรู้ต่อสหรัฐอเมริกา แต่ผมตีความโยงเข้าหาระบบการศึกษาไทยเอง ผิดถูกผมเป็นผู้รับผิดชอบ
การปฏิรูปการศึกษาต้องยืดหยุ่นตามบริบทของพื้นที่นั้นๆ ดังจะเห็นว่า รัฐ แอลเบอร์ต้า มีเป้าหมายพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ทุกด้าน พัฒนาทั้งระบบ แต่รัฐ ออนทาริโอ มีเป้าที่โฟกัสกว่ามาก คือเน้นเฉพาะผลลัพธ์การเรียนรู้ด้านการอ่านและคณิตศาสตร์ และลด drop-out rate
แนวทางที่ถูกต้องคือการดำเนินการเชิงบวก สร้างพื้นที่ให้ครูและภาคีอื่นๆ ในพื้นที่เข้ามาร่วมกันคิด วางเป้า วางยุทธศาสตร์ดำเนินการ และวัดผล
หัวใจของการพัฒนาคือต้องพัฒนาสมรรถนะในระดับโรงเรียน เน้นสนับสนุนให้โรงเรียนดำเนินการเอง โดยมีตัวช่วยหรือกลไกช่วยที่เหมาะสม ตามบริบทของโรงเรียนนั้น ความช่วยเหลือเน้นที่การช่วยสร้างขีดความสามารถหรือสมรรถนะหลักของครู และผู้อำนวยการโรงเรียน โดยโรงเรียนต้องเป็นผู้ตั้งเป้าการพัฒนาและกำหนดมาตรการบรรลุเป้าด้วยตนเอง คือเน้นการพัฒนาจากล่าง ไม่ใช่จากบนลงล่าง เน้นความเป็นตัวของตัวเองของโรงเรียน ในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน เน้นให้โรงเรียนยึดผลลัพธ์การเรียนรู้ระดับสูงของนักเรียนเป็นสรณะ ไม่ใช่เน้นการเอาใจผู้มีอำนาจในกระทรวงศึกษาธิการ หรือหน่วยเหนือ เป็นสรณะ
ขอขอบคุณ นพ. สุภกร บัวสาย ผู้จัดการ กสศ. ที่กรุณาส่งหนังสือเล่มนี้มาให้
วิจารณ์ พานิช
๓ ม..ค. ๖๒
ไม่มีความเห็น