เมื่อตอนที่ผมเป็นเด็กผมชอบเที่ยวงานวัด..สมัยนั้นไม่เหมือนสมัยนี้ แสงสีอาจจะไม่มากมาย แค่เครื่องขยายเสียงจ้าแจ่มก็เพียงพอแล้วที่จะเรียกคนเข้าวัด..
ตอนนั้นจำได้ว่ามีแต่หนังกับลิเก..วัดที่ไปประจำมีอยู่วัดเดียวคือวัดท่าเกวียน อยู่ตำบลคลองข่อย อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี การเดินทางไปวัดทำได้สองทาง คือทางเท้ากับทางเรือ..ปัจจุบันไปได้ทางเดียวเท่านั้น คือทางรถยนต์
ผมเรียนจบ ป.๗ ที่โรงเรียนวัดท่าเกวียน คิดดูเถอะว่า..ผมจะเป็นแฟนพันธุ์แท้งานวัดได้มากขนาดไหน..ตอนอยู่ประถมต้นเคยหอบเสื่อไปรอหน้าโรงลิเก..
พอเรียนประถมปลายเริ่มอายนิดๆ..ไม่ยอมหอบอะไรทั้งนั้น ผมเคยดูหนังกลางแปลงที่วัดจนสว่างคาตา หนัง ๕ เรื่อง ๕ รส..ดูไปได้ยังไง..?
บางงาน..จำได้ติดหูติดตา เพราะตื่นเต้นที่จะได้เที่ยวงานวัด ตอนขาไปรู้สึกกระฉับกระเฉงเดินได้แคล่วคล่องว่องไว ขากลับง่วงมากเดินโซเซเหมือนคนเมา สะดุดก้อนดินหัวทิ่มหัวตำ..
ในช่วงที่เรียนชั้นมัธยมฯ ผมเริ่มถอยห่าง “งานวัด” ความรักความผูกพันไม่ทราบว่าหายไปไหน..อยากอยู่บ้านอยากอ่านหนังสือมากกว่า..
ถ้าจะไปงานวัด..ผมจะไปหาของกินและเดินดูสินค้าทั่วไป ดูเขาขายอาหาร อยากเป็นคนขายของเป็นพ่อค้าเหมือนคนอื่นเขาบ้าง?
อาจเป็นเพราะเคยชินที่ช่วยแม่ขายผลไม้มาตลอด โดยรับผลไม้จากสวนไปชายที่กรุงเทพฯ นั่งขายริมถนนมีผู้คนเดินไปเดินมามากมาย จำได้ว่าขายดีมาก
เมื่อผมมีงานทำและมีโอกาสเที่ยวกลางคืนที่เรียกว่า “ถนนคนเดิน” ผมยังรู้สึกเหมือนเดิม คืออยากเป็นพ่อค้าขายของ..ขายอาหารก็ดี ขายเครื่องดื่มก็ได้ น่าจะสร้างรายได้มิใช่น้อย...
เย็นวันนี้..ผมเดินเที่ยว “งานวัดเลาขวัญ” คนเยอะมาก โดยเฉพาะในบริเวณวัดที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เวทีดนตรี ที่คืนนี้มี “ไมค์ ภิรมพร” เจ้าของเพลง “กลับคำสาหร่า”
งานวัดกับดนตรี..ไม่สามารถดึงดูดผมให้อยู่ได้นาน ผมอยากกลับบ้านไปพักผ่อนมากกว่า จึงเดินออกมาตามแนวถนนหน้าวัด ก็พบร้านค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่ตั้งร้านแยกออกมา..
ผู้คนยังไม่มาก จึงได้ยินเสียงบ่นจากแม่ค้าว่าขายได้ไม่สู้ดี ไม่เหมือนร้านที่อยู่ในวัด แต่ผมกลับมองว่า..ร้านข้างนอกไม่แออัดน่าซื้อของมากกว่า แต่คนขายจัดร้านดูไม่น่าสนใจและไม่ส่งเสียงเชิญชวนลูกค้าแต่ประการใดเลย..
ผมเหลือบไปเห็นผู้ปกครองนักเรียน นั่งขายมะขามเทศ มะขามแช่อิ่ม กล้วยตาก กล้วยฉาบและแค๊บหมู สินค้าถูกจัดวางเรียงรายอยู่เต็มแผง..
ผมเข้าไปทักทาย และอาสาที่จะช่วยขายสักพักใหญ่ ผู้ปกครองเปิดโอกาสให้ผมร้องขายอย่างเต็มที่ เริ่มมีผู้คนเดินทางมาจับจ่ายซื้อของและเดินเข้าไปในงานมากขึ้น..
หลายคนแวะซื้อกล้วยตากและมะขามเทศ..ผมใส่ถุงและทอนตังค์แทบไม่ทัน ผ่านไปสองชั่วโมง ผมขายได้พันกว่าบาท ของในร้านยุบไปเยอะ ผู้ปกครองก็เลยยิ้ม
ผมสังเกตดูร้านข้างๆ ที่ขายอาหาร..แต่ขายกันแบบเงียบๆ และคนขายส่วนใหญ่มีอายุ..ผมจึงนึกสงสัยว่า..ทำไมเด็กวัยรุ่นสมัยนี้จึงไม่ออกมาช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน..
ทุกวันนี้..ผมจะสอนนักเรียนให้มี “ทักษะชีวิต” ฝึกคิดช่องทางทำกิน อย่าเป็นเพียงผู้ซื้อ เพราะเงินทองหายาก ถ้ารู้จักใช้และรู้วิธีหาเงิน..ชีวิตน่าจะดูดีมีความมั่นคง..
คืนนี้..ผมกลับจากงานวัด จึงได้ข้อคิดกลับมาด้วยประโยคหนึ่ง พรุ่งนี้จะไปเขียนป้ายติดไว้ให้นักเรียนอ่าน..”อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา”
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๓๑ มกราคม ๒๕๖๒
ไม่มีความเห็น