ก่อนอื่น ต้องย้ำว่า ผมไม่ได้สำเร็จปริญญาใด ๆ ด้านการศึกษา ดังนั้นคำแนะนำในการเขียน "ภูมิหลัง" ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นไม่ใช่ระเบียบวิธีมาตรฐานใด ๆ เป็นวิธีที่ผมตกผลึกได้จากประสบการณ์การอ่านและคิดเพื่อจะแก้ไขวิทยานิพนธ์นิสิต ท่านจะนำไปใช้หรือไม่ก็โปรดพิจารณาดูเถิด
ความหมายของภูมิหลัง
ภูมิหลังคืออะไร เขียนไว้ทำไม ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน
หลักการเขียนภูมิหลัง
ขอเสนอให้แบ่งเขียนเป็น ๓ ประเด็น ให้เห็นเหตุเห็นผลเชื่อมโยงกัน ดังต่อไปนี้
ความรู้ที่จำเป็นสำหรับการเขียนภูมิหลังของงานด้านการศึกษา
นิสิตนักศึกษาที่เรียนด้านการศึกษา ผู้ประสงค์จะประกอบอาชีพเป็นครู คณาจารย์ หรือบุคลากรด้านการศึกษาทุกท่าน จำเป็น ต้องมีความรู้ดังต่อไปนี้ ก่อนจะเริ่มเขียนภูมิหลัง
ตัวอย่างการเขียนภูมิหลังของงานด้านการศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มสาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ กำหนดแนวทางการจัดการศึกษาในหมวดที่ ๔ มาตราที่ ๒๓ ให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจและมีทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยกำหนดแนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้ไว้ในมาตราที่ ๒๔ ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการคิด การจัดการ การเผชิญกับปัญหา และแก้ปัญหาด้วยตนเอง เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนจากประสบการณ์จริง (เติมอ้างอิง) และกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ไว้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑
ที่ผ่านมา การจัดการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางฯ เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจและทักษะทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโยีตามที่ พ.ร.บ. กำหนด ไม่ได้ผลเท่าที่ควร ดังจะเห็นได้จาก ผลการทดสอบ O-Net ........... (ยกผลการทดสอบโอเน็ตของกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย) .... ผู้เรียนขาดทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา ดังจะเห็นได้จากผลการทดสอบ PISA ที่นักเรียนไทยมีค่าเฉลี่ยเพียง........
(.... เพิ่มย่อหน้าตามจำนวนปัญหาที่สนใจ.....)
ทักษะการคิดวิเคราะห์และทักษะการแก้ปัญหา เป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับดำรงชีวิตที่ดีในศตวรรษที่ ๒๑ และเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาประเทศโดยเฉพาะความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเทศที่จัดว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหมดจะมีผลการการทดสอบด้านการคิดและทักษะการแก้ปัญหาสูง และให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้เรียนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมากเมื่อพิจารณาจากงบประมาณสนับสนุนในการพัฒนาบุคลากรและการจัดการเรียนรู้ ....... ควรอ้างอิงข้อมูลตัวเลขที่น่าเชื่อถือต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น GDP หรือผลการประเมินเปรียบเทียบมาตรฐานของสำนักงานที่ได้รับความเชื่อถือ (ดูภาพด้านล่างสุด)
จากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องพบว่า สาเหตุที่ที่ทำให้ผู้เรียนขาดการคิดวิเคราะห์และทักษะการแก้ปัญหา คือการจัดการเรียนรู้แบบเน้นการถ่ายทอดความรู้โดยครูผู้สอนเป็นศูนย์กลาง กระบวนการเรียนรู้ที่ไม่ได้ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เผชิญปัญหาหรือแก้ปัยหาด้วยตนเองตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ (เติมอ้างอิง....) ....
การจัดการเรียนรู้บนฐานปัญหา (Problem-based Learning) เป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และทักษะการแก้ปัญหาได้อย่างมีนัยสำคัญ (อ้างอิง...) ..... เขียนถึงผลงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งสืบค้นได้ โดยเฉพาะผลงานวิจัยที่มีกลุ่มเป้าหมาย หรือ เนื้อหาสาระที่ใกล้เคียงกัน
การจัดการเรียนรู้บนฐานปัญหาที่แบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อยให้ร่วมกันแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยกำหนดสถานการณ์ปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับเนื้อหาตามหลักสูตรแกนกลางที่ผู้เรียนกำลังศึกษา น่าจะส่งผลให้ทักษะการแก้ปัญหาของผู้เรียนพัฒนา .... (เพิ่มความคาดหวังตามที่กำหนดในวัตถุประสงค์ของงาน ... ต้องเชื่อมโยงกำวิธีการที่เสนอไปในย่อหน้าก่อน ...)
ฝากก่อนจบบันทึก
สังเกตว่า ผมจะเน้นเรื่องการเขียนที่เป็นเหตุเป็นผลและเชื่อมโยง ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นได้จากการ "ตัดต่อ" หรือ "ต่อเติม" เลย .... ทั้งนี้ ขอย้ำอีกทีว่า การเขียนใด ๆ ไม่ควรจะยึดรูปแบบใดตายตัว ... ไม่อย่างนั้น คงจะไม่มีผลงานสร้างสรรค์ใด ๆ เกิดขึ้นได้ในวงการศึกษาไทย
ไม่มีความเห็น