จากที่ได้ติดตามไปดูงานประชุมเสวนา “ปราชญ์เกษตร เศรษฐกิจพอเพียงและแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรนิคมเศรษฐกิจ พอเพียง อำเภอวังน้ำเขียว” ของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.) ที่เป็นสถานที่มุ่งเน้นในการแก้ปัญหาความยากจนของราษฎร โดยใช้กระบวนการจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรควบคู่กับ การพัฒนาอาชีพในแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจัดเป็นแหล่งเรียนรู้ของเกษตรกรและแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร
จากการเสวนาของปราชญ์ เรื่อง เศรษฐกิจพอเพียงต่างมี ความเห็นตรงกันว่าก่อนที่จะจัดการให้มีเศรษฐกิจพอเพียงในองค์กรและชุมชนได้ต้องมีการจัดการความรู้ ความรู้ที่เป็นพื้นเดิมของท้องถิ่นนั้น ต้องจัดความรู้ให้ถูกทาง จัดให้ถูกต้องเหมาะสมกับพื้นที่ และให้มองในเรื่องของปากท้อง การทำมาหากิน ควรนำหลักเศรษฐกิจ พอเพียงมาแก้ปัญหาความยากจน มองปัญหาเพื่อแก้ไขปัญหา และหาทางออกให้กับปัญหาพร้อมกับหาทางรอดให้กับตัวเอง แล้วลงมือปฏิบัติค้วยตนเองเศรษฐกิจพอเพียงจึงจะเกิดขึ้นได้ ถ้ามองประเด็น หาเงินเพื่อจะแก้ปัญหา มองหาทางรวยเพื่อจะหาความสบาย เศรษฐกิจพอเพียง จะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เลย มีแต่ผลที่ตามมาจะทำให้ทรัพยากรหมดไป เป็นการทำลายชาติ ปราชญ์ได้ให้ข้อคิดในเรื่องการจัดการความรู้ของเศรษฐกิจพอเพียงไว้ 4 ประเด็นหลักดังนี้
1. ให้มองปัญหาภายในของชุมชนก่อน พอรู้ปัญหาแล้วหาทางแก้ไข ด้วยกระบวนการและวิธีการ จึงจะแก้ไขได้ มองให้ทะลุถึงกุศโลบายในกระบวนการให้ได้ เช่นถ้าจะปลูกพืชต้องปลูกจิต สำนึกให้มีส่วนร่วม จะได้รู้ถึงความเป็นเจ้าของจากการลงมือทำเองแล้วสามารถสร้างสิ่งดี ๆ ได้มากขึ้น
2. ให้เลิกทำเกษตรเชิงเดี่ยว หันมาใช้เกษตรธรรมชาติ ทำเกษตรผสมผสาน เพื่อให้เกิดการเกื้อกูลซึ่งกันและกันไม่ว่าจะเป็นพืช เป็นสัตว์ เช่นเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นอาหาร แล้วนำมูลสัตว์มาเป็นปุ๋ยให้กับพืชผัก สุดท้ายก็นำพืชผักมาเป็นอาหารให้กับคนและสัตว์
3. นำการปฏิบัติมาสู่การสร้างความรู้จากความเป็นจริง ของแต่ละชุมชน แต่ละท้องถิ่นต้องมีชุดความรู้ของตนเอง เพื่อนำไปขยายผลและความรู้ที่มีต้องสอดคล้องกับชุมชน ท้องถิ่นของภาคส่วนนั้น ๆ ฐานของการพัฒนากระบวนการจึงจะเกิดขึ้น
4. ภาครัฐควรนำความรู้พื้นบ้านมาต่อยอดเพื่อให้เกิดผลจริงมากขึ้น รัฐควรจัดทำสื่อ ผลิตสื่อจากฐานของชุมชนที่ปฏิบัติจริง นำมาประชาสัมพันธ์เป็นต้นแบบให้กับชุมชนอื่น เพื่อได้สร้างกระบวนการเรียนรู้ใหม่ ๆ ได้
จะเห็นได้ว่ากระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากการจัดเสวนาครั้งนี้ เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ผ่านการทดลอง การลองผิดลองถูกหาความพอเหมาะพอดีของปราชญ์ที่ถือได้ว่าเป็นนักปฏิบัติตัวจริง เป็นการจุดประกายให้เปลี่ยนวิธีคิด ด้วยการจัดการความรู้และการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นทั้ง 5 รู้ ให้สัมพันธ์ เชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์แบบนั่นคือ รู้จักตนเอง รู้ปัญหา รู้ทรัพยากร รู้การจัดการ และสุดท้ายรู้จักการวางแผนชีวิต ให้มีความสุขอย่างยั่งยืนบนฐานของเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง
โดยหลักการก็คือ การบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับวิชาการสมัยใหม่ เช้นเดียวกับการต่อกิ่งไม้ผล ที่ต้องการความแข็งแรงของฐานราก และข้อดีของพันธุ์ใหม่
ในการพัฒนาต้องมองในเชิงบูรณาการในแนวนี้ครับ