ลองมาดูอีกตัวอย่าง
สมมติว่ารัฐอยากให้ประชาชนมีพฤติกรรมทางการเงินไปทางไหน รัฐก็จะออกนโยบายภาษีออกมา เพื่อเป็นแรงจูงใจ เช่น อยากให้คนบริจาคสาธารณกุศล ก็มีนโยบายภาษีว่านำไปคิดลดหย่อนภาษีได้ อยากส่งเสริมอุตสาหกรรมในประเทศ ก็มีการให้เครดิตเงินปันผลเสมือนหนึ่งให้บริษัทส่งมอบกำไรก่อนหักภาษีตรงไปให้ผู้ถือหุ้น
เหมือนอยากให้น้ำไหลไปทางไหน ก็ขุดลอกพื้นให้เป็นทางไว้ ถึงเวลา น้ำไหลไปเอง
อีกสักตัวอย่างก็ได้ เมื่อเข้าศูนย์การค้า โดยเฉพาะในกรุงเทพ ฯ
ดูสิครับ สายพานเลื่อนบริการคนเดิน เขามักทำแต่ขาเข้า ไม่ค่อยทำขาออกหรอก ทั้งที่ตอนเข้า ยังมีแรง ตอนออก ขาลากหมดแรง แต่บริการให้คนไม่ต้องเดินเฉพาะตอนยังมีแรง
นี่ก็ใช่ความคิดเชิงระบบ เพราะศูนย์การค้าก็เหมือนยักษ์ใหญ่ที่นอนอ้าปากรอ มีสายพานป้อนเหยื่อเข้าปากเอง ลงทุนระบบป้อน ไม่ลงทุนระบบคายเหยื่อ
สายพานนี้ ไม่ใช่การบริการหรอกครับ แต่เป็น 'เบ็ด' ยุคไฮเทคครับ
มองในแง่นี้ การคิดเชิงระบบก็คือ การออกแบบระบบให้บีบบังคับโดยโครงสร้างให้เกิดการเปลี่ยนไปในทิศที่ต้องการ
ลองตีความดู
สมมติผมรู้ว่าผมขี้ลืม และขี้ใจลอย แต่ไม่เคยลืมหยิบกุญแจบ้านเวลาออกจากบ้าน การแก้ไขโดยแนวคิดเชิงระบบก็คือหากผมตั้งใจหยิบติดอะไรติดตัวไปในวันรุ่งขึ้นขณะออกจากบ้าน ผมควรวางไว้ที่เดียวกับกุญแจ อาจมัดยางไว้ให้แน่ใจว่า ต่อให้ลืม มันก็ยังติดมือไป
หรือกรณีของอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์บางท่าน ใช้วิธีบีบโดยโครงสร้างให้นักศึกษาต้องมีความคืบหน้าต่อเนื่องอยู่ตลอด โดยอาศัยกุศโลบายเช่นให้มีช่วงเวลากิจกรรมกลุ่มทุกสัปดาห์ให้นักศึกษาทุกคนที่ทำวิทยานิพนธ์ต้องมาเล่าเรื่องตนเองในสัปดาห์นั้นโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที
ไม่มีความเห็น