๘๓๑. ทำดี..ไม่ได้ยากเลย


“น้องเลี้ยงแม่มา ๒๐ กว่าปี พี่รู้ว่าหนักมาก ไหนจะหลานอีก น้องอดทนและสู้ชีวิต มีจิตกตัญญูรู้คุณ พี่ชื่นชม จึงอยากให้น้องมีสุขภาพที่แข็งแรง มีจิตใจที่แจ่มใส มีกำลังใจทำงานและดูแลแม่และหลานต่อไปด้วยความรัก พี่ช่วยเหลือเท่านี้ก่อน สักวันคงมีโอกาสได้ช่วยเหลือกันอีก..”“

         ผมกวาดถนนหน้าอาคารเรียน ตาก็ชะเง้อมองว่าเมื่อไหร่น้องกับหลานจะขับรถเข้ามาในโรงเรียน นัดกันไว้ตอนสิบโมง..

    น้องสาวผมเป็นครูอยู่จังหวัดปทุมธานี อายุ ๔๐ กว่า ไม่มีครอบครัว น้องเลี้ยงแม่และหลานอีกสองคน ชีวิตของน้องก็อยู่ดีมีความสุขมาตลอด

        หลานชายและหลานสาว เป็นลูกของพี่สาวผมซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ก่อนสิ้นใจพี่ให้ผมช่วยดูแลหลาน แต่ผมไม่มีปัญญา แต่น้องก็อาสาที่จะดูแลหลานให้ นานกว่า ๑๐ ปีมาแล้ว

        น้องสาวส่งเสียเลี้ยงดูหลานจนจบปริญญาตรี โดยใช้เงิน ชพค.ของพี่สาวและเงินเดือนของตัวเอง..ผมมีส่วนร่วมในเงิน ชพค.นั้น

        เพราะพี่สาวป่วยหนักอยู่โรงพยาบาลวชิระ..ผมไปเยี่ยม..จึงได้ทราบว่าพี่ไม่ได้สมัคร ชพค. (เงินช่วยเหลือเพื่อนครู) ผมรีบไปสมัครให้..พอสมัครเสร็จพี่สาวก็สิ้นใจ..จึงไม่เข้าเกณฑ์ที่จะได้รับการช่วยเหลือจากสกสค.

        ผมต้องไปขอความอนุเคราะห์ผู้ใหญ่ในระดับกรมกองฯ ด้วยเหตุผลว่าพี่สาวยังมีลูกต้องเรียนอีก ๒ คน..ผู้ใหญ่ท่านก็ใจดีและยอมอนุมัติเงินให้..

        น้องสาวผมกินใช้อย่างประหยัด เพราะต้องเลี้ยงดูแม่ผมด้วย พอเก็บเงินได้จากที่เคยเช่าบ้าน ก็พากันมาซื้อทาวน์เฮ้าส์ที่หมู่บ้านกฤษฎาวังน้อย อยู่กันมาหลายปี ต่อมาก็ซื้อหลังข้างๆอีกหลังหนึ่ง แล้วให้เขาเช่า เพื่อนำค่าเช่าบ้าน มาจ่ายเป็นค่าเงินงวดส่งบ้าน..

        ต้นปี..๒๕๖๑..เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวน้อง..ผมไม่อาจทราบได้..เพราะมันกระทันหันและน้องก็ตัดสินอย่างรวดเร็ว จนผมตั้งตัวไม่ทัน..

        น้องพาแม่และหลาน มาซื้อบ้านพฤกษาที่วังน้อย เป็นบ้านเดี่ยวสองชั้น การส่งงวดบ้านรายเดือนค่อนข้างสูง..แต่น้องก็สู้ ด้วยเหตุผลสั้นๆที่บอกผมว่าที่เก่า..มิจฉาชีพและยาเสพติดเยอะ..

        ๑ – ๒ เดือนผมถึงจะไปเยี่ยมแม่กับน้องสักครั้ง..แรกๆก็เห็นว่าอยู่กันดี บ้านก็น่าอยู่และหรูหรามาก สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยต่างกับทาวน์เฮ้าส์มากมาย..

        แต่เดือนที่แล้ว..ผมไปเยี่ยมเยือนเหมือนเคย เห็นสีหน้าของน้องสาวอิดโรยเหมือนคนอมทุกข์ หรือใช้ความคิดตลอดเวลา..ผมถามหลานสองคนก็บอกตรงกันว่า..เดี๋ยวนี้แม่ค่อนข้างเครียด (หลานจะเรียกน้องผมว่าแม่ตลอด)

        ผมไม่ได้ถามสาเหตุ แต่ก็พอจะมองออก เพราะเปิดตู้เย็นก็เห็นแต่ความว่างเปล่า โต๊ะกับข้าว..ก็มีไข่ต้มอยู่ ๒ – ๓ ใบ ชีวิตเปลี่ยนไปจริงๆ..

        ก่อนกลับ..ผมให้น้องสาวช่วยทำบัญชีรายรับรายจ่าย ว่าเมื่อส่งบ้าน ๒ หลัง ส่งรถเก๋ง ๑ คัน ค่าน้ำค่าไฟฟ้า..ค่าน้ำมัน..น้องเหลือเงินเดือนไว้กินไว้ใช้เท่าไหร่?

        ไม่ต้องรวมเงินเดือนของหลานสาวซึ่งทำงานแล้ว เพราะหลานเองก็ต้องใช้จ่ายและเก็บเงินไว้สร้างเนื้อสร้างตัว..

        น้องส่งไลน์ให้ผมดูบอกว่า เหลือเงิน ๓,๕๐๐ บาทต่อเดือน ผมแทบไม่เชื่อสายตา แต่คำนวณดูก็ไม่น่าจะผิด ๓,๕๐๐ กับ ๔ ชีวิต ต้องเป็นความจริงแน่ และน้องก็เป็นคนตรงและจริงจังมาก

        ผมถามน้องสาวไปประโยคเดียว “บ้านทาวน์เฮ้าส์หลังที่ผ่อนอยู่เหลือหนี้อยู่เท่าไหร่?”  น้องบอก “ ๑๔๐,๐๐๐ บาท”

        ผมไม่ต้องคิดอะไรมาก รีบบอกให้น้องกับหลานขับรถมาหาผมในวันนี้ พอมาถึง..ผมก็ยื่นซองเงินให้น้องทันที น้องสาวถามผมว่าจะเอาคืนเมื่อไหร่....?

        ผมบอก “พี่ให้ เอาไปเถอะ ไม่เอาดอกเบี้ยไม่ต้องใช้คืน เอาเงิน ๑๔๐,๐๐๐ บาทนี้ไปใช้หนี้ธนาคารให้หมด แล้วอยู่ให้สุขสบาย”

        ผมพูดอีกมากมาย..จนน้องสาวน้ำตาคลอ..เป็นครั้งแรกที่ผมบอกความรู้สึกจริงๆให้น้องสาวรับรู้..” จำได้ไหม พี่เคยจะเลี้ยงดูแม่ แต่แม่ก็ไม่ยอมมาอยู่กับพี่ เพราะพี่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและกันดาร อยู่ในสวนที่เงียบเหงา และห่างไกลโรงพยาบาล ไม่เหมาะกับแม่ ที่ต้องไปโรงพยาบาลบ่อยๆ..”

        “น้องเลี้ยงแม่มา ๒๐ กว่าปี พี่รู้ว่าหนักมาก ไหนจะหลานอีก น้องอดทนและสู้ชีวิต มีจิตกตัญญูรู้คุณ พี่ชื่นชม จึงอยากให้น้องมีสุขภาพที่แข็งแรง มีจิตใจที่แจ่มใส มีกำลังใจทำงานและดูแลแม่และหลานต่อไปด้วยความรัก พี่ช่วยเหลือเท่านี้ก่อน สักวันคงมีโอกาสได้ช่วยเหลือกันอีก..”

        “แล้วพี่จะพอใช้หรือ” น้องถามผม “ไม่ต้องห่วง เงินเดือนพี่เหลือเยอะแยะ อย่าว่าแต่มีใช้เลย มีพอไปเที่ยวด้วยแหละ เดี๋ยวเสร็จงานเมื่อไหร่จะต้องเที่ยวพักผ่อนสักพัก” ผมพูดเพื่อให้น้องสบายใจ แต่มันก็เป็นเรื่องจริง...

        หลานขับรถพาน้องสาวผมออกจากโรงเรียนไปแล้ว...ผมมองจนรถลับตา..ใจผมสั่นหวิว รู้สึกสงสารน้อง คงสู้ทนลำบากมาหลายเดือนแล้ว...

        ผมนั่งพักก่อนที่จะทำงานต่อ และนิ่งพอที่จะคิดได้ว่า..ใจไม่กล้าที่จะบอกน้องตั้งหลายอย่าง แต่กล้าที่บอกตัวเองว่า..ถ้าพี่อิ่มแล้วน้องยังอดอยู่ ก็คงไม่ใช่.. พี่มีความสุขแล้วน้องยังทุกข์เช่นนี้ พี่ก็ใช้ไม่ได้..

        ใครๆในสังคมชมพี่ว่าเป็นคนดี พี่ไม่เคยแน่ใจเลย วันนี้พี่ช่วยน้อง มันคือของจริงจากหัวใจ กับพี่ เพื่อนและน้อง..พี่จะให้โอกาสเสมอ และไม่เคยคิดเรื่องการตอบแทน...

        ยกเว้นกับน้อง..ที่พี่คิดว่า..” กตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่จำเป็นต้องเห็นผลชาติหน้า พี่คิดว่ามันต้องเห็นผลชาตินี้แหละ..พี่ขอตอบแทนบุญคุณน้อง..”

ชยันต์  เพชรศรีจันทร์

๑๗  พฤศจิกายน  ๒๕๖๑


หมายเลขบันทึก: 658019เขียนเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2018 21:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2018 21:15 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

เรียน อาจารย์ แม้แต่เรื่องครอบครัว อาจารย์ ก็เป็นเยี่ยงอย่าง พี่ชายในสังคมครอบครัวไทยที่เคยมีความสุข
ด้วยการตัดสินใจทางเลือกที่ทันสมัยเหมาะสมกับสภาพสังคม เศรษฐกิจปัจจุบัน นี่คือ มโนธรรม ที่ขาดหายไปมากแล้วในสังคมครอบครัวไทย …น้ำใจในครอบครัว จากชนบทสู่การช่วยเหลือเมือง…

ขอแสดงความนับถือ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท