เพื่อนคุยวัยใส


เมื่อรู้สึกไม่มีใครขอให้รู้ไว้เราอยู่ใกล้คุณ
 วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 49 ได้ฤกษ์เริ่มปฏิบัติการลดไขมันส่วนเกินเพื่อสุขภาพ  นำโดย อ.พรเพ็ญ พี่แมว(อมรรัตน์) พี่ป้อม (วรวรรณ) จะจัดอบรมน้องๆที่มีปัญหาภาวะโภชนาการเกิน   โดย ชี้แจงโปรแกรมของห้องพยาบาลให้น้องๆที่ผ่านการทำแบบสอบถามและสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ  วันแรกเจอกันเริ่มด้วยแนะนำการใช้คู่มือ วัยใส สุขภาพดี ไร้ไขมัน  หลังจากกรอกข้อมูลพื้นฐานส่วนบุคคล เสร็จ แต่ละคนก็ฝึกคำนวณความต้องการใช้พลังงานของแต่ละคน การคำนวณ พลังงานที่วางเป้าหมายว่าจะลดลงในแต่ละวัน  และการคำนวณอาหารตามตารางในคู่มือ  การบันทึกรายวัน การใช้พลังงานในกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน  การคิดพลังสุทธิที่ได้รับและที่ใช้ไปในแต่ละวัน  พี่ป้อมมาแนะนำเรื่องการออกกำลังกาย  ที่blog เป็นอีกช่องทางที่จะพบปะกัน สำหรับน้องๆที่ต้องการรับการปรึกษาปัญหาวัยรุ่น หรือความเครียดในเรื่องต่างๆ สามารถเข้ามาได้ตั้งแต่เดือนส.ค 50เป็นต้นไป จะมีทีมเพื่อนผู้ให้การปรึกษาหรือพี่ป้อมหรืออ.พรเพ็ญคอยช่วยเหลืออยู่ที่นี่ค่ะ
หมายเลขบันทึก: 65727เขียนเมื่อ 7 ธันวาคม 2006 12:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 มิถุนายน 2012 21:56 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)

ปีที่แล้วทะเลาะกับเพื่อนสนิท โกรธมากเลยขโมยกระเป๋าใส่ปากกาที่เราให้เค้าเป็นของขวัญวันเกิดเอาไปเผา ส่วนของในกระเป๋าก้อทิ้งหมด ตอนเผามันสะใจ แต่หลังจากนั้นรู้สึกแย่ กับเพื่อนก้อไม่คุยไม่คบกันเกือบ 1 เดือน จนเราไปง้อก่อน เพื่อนบอกเสียดายกระเป๋าที่หายไปมาก ยิ่งทำให้เรารู้สึกแย่แต่ไม่กล้าบอกความจริง ปีใหม่ซื้อกระเป๋าใบใหม่ให้เค้าดูเค้ามีความสุขมาก แต่ทำไมความรู้สึกผิดของเราก็ไม่ดีขึ้น ตอนนี้กลับมาสนิทกันเหมือนเดิม แต่เวลาเห็นกระเป๋าเพื่อนทีไรจะนึกถึงเหตุการณ์ที่เราทำทุกที ยิ่งเค้าทำดีกับเราเราก็ยิ่งเสียใจกับสิ่งที่เราเคยทำร้ายเค้าคิดว่าหากย้อนเวลากลับไปได้จะไม่ทำเด็ดขาด เราควรจะบอกความจริงเพื่อนหรือเก็บความลับไว้แบบนี้ อึดอัดใจมาก

ถึง น้อง "ไม่แสดงตน"

      อย่างน้อยความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นก็ยังดีกว่าการไม่รู้สึกอะไรเลยกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป ซึ่งเท่ากับว่าจริงๆแล้วน้องเป็นคนที่อาทรต่อผู้อื่น แต่การระบายความโกรธที่ผิดที่ผิดทาง คือการทำลายข้าวของของเพื่อนในครั้งนั้น ส่งผลเสียที่กระทบจิตใจได้อย่างชัดเจน แม้ว่าน้องได้พยายามซื้อกระเป๋าใบใหม่ให้เค้าเป็นการชดเชยแล้วก็ตาม ก่อนอื่นพี่ป้อมขอยกกรณีนี้เป็นตัวอย่างให้กับน้องคนอื่นๆ คือ

     เมื่อเวลาเราทะเลาะกับใคร อารมณ์มันจะพุ่งขึ้นค่ะ ในเวลาขณะนั้นเราจะมีข้อสนับสนุนว่าตัวเรานั้นถูก ส่วนฝ่ายตรงข้ามนั้นผิด ซึ่งในความเป็นจริงมันอาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป (พี่ป้อมจะแนะนำเรื่องการยอมรับผู้อื่น การรู้จักตนเองในคราวหน้าค่ะ)

    หากเราเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วความโกรธมันยังทะลุทะลวง ธรรมชาติคือต้องการระบายออก บางคนอาจเข้าห้องนอนขยุ้มหมอนร้องไห้ เหมือนนางเอกละครนำดีทีวีไทย (หึหึ) ก็ไม่เป็นไรค่ะ แต่บางคนอาจทำลายข้าวของของตนเอง, ของคนอื่น แย่ไปนู่นเลยคือทำลายของสาธารณะ ความก้าวร้าวแบบนี้ถ้าไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจอาจถอยหลังลงคูไปเป็นการทำร้ายสัตว์ ทำร้ายคน ซึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรง ดังนั้นต้องตัดไฟซะแต่ต้นลม คือ

    1. ไม่จำเป็นอย่าทะเลาะ (อ่า....ยากสำหรับบางคนแต่ต้องพยายาม)

ถึง น้อง "ไม่แสดงตน"

      ขาดตอนค่ะขออภัย ต่อนะคะ ถ้าเราเจอสถานการณ์เสี่ยงต่อการทะเลาะ หรือมีอารมณ์โกรธ อย่าต่อปากต่อคำนะคะ ควรออกมาจากตรงนั้น (ตรงที่เราทะเลาะกะเค้านั่นแหละ) สงบสติอารมณ์ หายใจเข้าออกลึกๆ ทบทวนเหตุการณ์ด้วยเหตุผล หากเราผิดค่อยไปขอโทษ หรือค่อยคุยกันคราวหลัง (ตอนที่อารมณ์เย็นแล้ว)

   2. หากยังโกรธมากๆๆๆ รู้สึกว่าต้องระบายออก ให้หาทางออกที่สร้างสรรค์ เช่น ไปออกกำลังกาย (วิธีนี้เหมาะกับวัยรุ่นใจร้อนแต่ขี้เกียจ), เอาผ้าไปซัก (ซักมือนะจ๊ะ ยิ่งเป็นกุงเกงยีนส์ใส่มาแล้วเดือนนึงจะดีมาก), ร้องคาราโอเกะเพลงมันๆที่บ้านกรณีอยู่คนเดียว (อยู่หลายคนอาจโดนข้อหาทำร้ายผู้อื่น), ขอคุณพ่อคุณแม่ทำงานบ้าน เป็นต้น คือถ้าเป็นงานกรรมกรละก็เจ๋งสุดๆ

   เม้าท์มามาก เข้าประเด็นสำคัญเลยดีกว่า ในเรื่องที่น้องรู้สึกอึดอัด คือ ต้องเลือกระหว่างบอกความจริงกับเพื่อนดีหรือไม่บอกดี งานนี้ใช้อารมณ์มาตัดสินใจไม่ได้นะคะ ต้องคาดการณ์ถึงผลดีผลเสียที่อาจเกิดขึ้น   เช่นการที่เพื่อนบอกว่าเสียดายกระเป๋าที่หายไปเมื่อเปรียบเทียบกับการที่เค้ารู้ว่ามันหายเพราะเพื่อนรักขโมยไป อะไรจะทำร้ายความรู้สึกเค้ามากกว่ากัน หากบอกความจริงเราอาจคิดว่าก็ดีเหมือนกันบอกๆไปเลยจะได้หายทรมานใจเสียที แต่เราต้องตรองดูให้ดีด้วยว่าต่อไปมันจะเกิดอะไรขึ้น มันจะแย่กว่าเดิมหรือเปล่า เป็นต้น

    เลือกตัดสินใจในสิ่งที่ทำให้เกิดผลเสียรุนแรงน้อยกว่า และต้องหาทางแก้ไขผลเสียที่จะเกิดขึ้นด้วยเช่น หากเราตัดสินใจไม่บอก ความอึดอัดใจที่ยังคงอยู่ อาจระบายออกด้วยการเล่าให้คนที่เราไว้ใจฟัง คนที่เข้าใจเราและรักษาความลับของเราได้ อาจเป็นคุณพ่อคุณแม่ หรือลงในบล็อกอย่างที่น้องเล่ามาเนี่ย แต่ให้จำไว้ว่าเหตุการณ์ที่มันเคยเกิดขึ้น เราไม่สามารถย้อนไปแก้ไขมันได้ ขอให้เก็บไว้เป็นบทเรียนสำหรับครั้งต่อไปนะคะ คิดก่อนทำ ไม่ดีอย่าทำ อะไรที่เป็นสิ่งดีๆที่เราทำให้กับคนอื่นแล้วมีความสุขทั้ง2ฝ่ายก็ จงทำต่อ จงทำต่อค่ะ 

แจนมีเพื่อนสนิทที่คบกันตั้งแต่มอ1 ตอนนี้อยู่มอ4แล้วมีแฟนคบกันได้3เดือน ส่วนเพื่อนสนิทยังไม่มีแฟน เด๋วนี้เพื่อนชอบทำตัวป่วนจนแจนเบื่อ ประมาณว่าเหมือนอยากให้แจนเลิกกับแฟน ทั้งที่เมื่อก่อนเชียรให้คบกัน พอคบกันจริงเทอก้อทำตัวแปลก อย่างแจนนั่งกับแฟนอยู่ดีๆเทอก้อเข้ามาแทรกตรงกลางซะงั้น บางครั้งก้อหาเรื่องให้แจนทะเลาะกะแฟน มีเรื่องโกหกมาแบบเนียนๆบ่อย ว่าแฟนแจนแรงๆเช่น นายนี่มันไม่ได้เรื่อง ไม่รู้เหรองัยว่าแจนเค้าไม่ชอบ.......... พอแจนทักเทอก้อบอกแหมขำๆ ตอนนี้แจนทะเลาะกะเพื่อนบ่อยมาก ทำไมเพื่อนถึงทำตัวน่าเบื่อ หรือว่าเค้าอิจฉาที่แจนมีแฟน
     ใครมีเทคนิคในการเรียนภาษาไทย/อังกฤษให้สนุกบ้าง เราเรียนดีทุกวิชายกเว้น2วิชานี้ แย่จางงงง ตอนนี้ม.3
    ทำงัยให้เพื่อนผู้ชายเลิกล้อเราว่าเป็นหมูเผา (อ้วนดำ) ล้อตั้งแต่ม. 2 จนม. 3 มันยังไม่เลิก ตอนนี้ไม่อ้วนแล้วก้อยังล้อ ด่าแรงๆก้อไม่เข็ด เซร็ง

ถึงปังญ่า

อย่าไปสนใจ  อย่าไปโต้ตอบ เพราะว่าถ้าเรามีปฏิกริยาโต้ตอบ เค้าจะยิ่งรู้สึกว่ามันสนุก และยิ่งทำให้เรารู้สึกโกรธ  แต่ถ้าเราโกรธให้เราพยายามระงับอารมณ์ของตัวเราเอง  เช่นการนับ1-10  หรืออาจใช้วิธีการเดินออกไปจากเหตุการณ์นั้นๆ

ถึงเจ้าหญิงสายไหม

  อันดับแรกต้องประเมินตัวเองก่อนว่าการที่เราเรียนวิชาภาษาไทยและอังกฤษไม่สนุกนั้นเป็นเพราะอะไร อยู่ที่ตัวครูหรือที่เรากันแน่

  ประเด็นที่หนึ่ง ถ้าเป็นที่ตัวครู เราไม่สามารถไปแก้ไขครูได้ เพราะบุคคลิกภาพของคนหรือวิธีการสอนเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัว เราควรมองครูในแง่บวก แล้วมองว่าเขากำลังให้อะไรกับเราโดยใช้ใจและเหตุผลในการพิจารณา

  ประเด็นที่สอง ถ้าเป็นเพราะตัวเราเอง เราต้องเปิดใจที่จะเรียนรู้พยายามทำความเข้าใจ และต้องให้กำลังใจตัวเองโดยคิดว่าคนอื่นก็ทำได้ทำไมเราถึงทำไม่ได้ แล้วพยายามอ่านวิชานั้นให้มากๆ เมื่อเรารู้เรื่องแล้วเราก็จะสนุกกับวิชาที่ไม่ชอบเอง และอาจจะไปหาชีวประวัติของบุคคลสำคัญของภาษาไทยหรืออังกฤษ ซึ่งสิ่งพวกนี้จะเป็นแรงจูงใจให้เราชอบวิชาภาษาไทยกับอังกฤษมากขึ้น

    ตอบน้อง jan

     กว่าพี่ป้อมจะตอบ ดีกันไปแล้วรึเปล่าเนี่ย เฮ้อ! อ่านแล้วปวดขมองแทน น้องแจนลองคิดให้กว้างๆดูนะ ตอนนี้ปัญหาอาจจะเป็นที่เพื่อน หรือตัวเรา หรือแฟนของน้องแจนเองก็ได้ หรือเป็นกันทั้ง2 หรือ3 คนรึเปล่า ต้องลองพิจารณาทีละข้อนะจ๊ะ ข้อแรก เป็นไปได้ไหมที่เรามีพฤติกรรมที่ทำให้เพื่อนรู้สึกว่าเค้ากำลังจะเสียของรัก เช่นเราให้เวลากับเพื่อนน้อยลง ให้ความสำคัญกับแฟนมากกว่า ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ลองคิดดูว่าถ้าน้องแจนเป็นเพื่อนจะรู้สึกอย่างไร น่าเห็นใจเค้าอยู่นะ

    ข้อที่สอง หากสงสัยว่าเพื่อนกำลังอิจฉาเรา ข้อนี้ก็อาจเป็นไปได้ พี่ยังอิจฉาน้อง พ่อยังอิจฉาแม่ นับประสาอะไรกับเพื่อนรัก เป็นเรื่องธรรมด๊าธรรมดา ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเพื่อนคิดร้ายกับเรานะ ทั้งสองข้อมีวิธีแก้คล้ายกัน หากยังรักเพื่อนอยู่ต้องให้ความสำคัญกับเค้าหน่อย เค้ามาก่อนแฟนหนูนะจ๊ะ และต้องแสดงให้แฟนเราเห็นด้วยว่า love me love my friend นะเคอะ

    ข้อที่สาม แฟนเราทำตัวไม่น่ารักกับเพื่อนเราหรือเปล่า อันนี้ต้องสังเกตด้วยใจเป็นกลางห้ามเข้าข้างแฟนเด็ดขาด ตอนนี้อาจทำได้ยาก เพราะเป็นช่วงเวลาของรักหยุดโลก หนูอาจจะมองใครไม่เห็นนอกจากแฟน แฟน และแฟน

   กับเพื่อน เราคบเค้ามาได้ตั้งหลายปี มีหรือจะไม่รู้จักเราดี มากกว่าแฟนแน่ๆพี่ป้อมขอรับประกัน บางครั้งเค้าอาจจะห่วงเราเกินเหตุ อะไรทำให้เค้าคิดอย่างนั้น เช่น เพื่อนไปได้ข้อมูลอะไรที่ไม่ดีเกี่ยวกับแฟนหนูมา (อาจไม่จริง) หรือเราไปจู๋จี๋กัน2ต่อ2บ่อย เพื่อนเลยห่วงหนูขึ้นมากลัวจะเสียท่าแฟน

    อะ.....มันยังมีประเด็นเล็กๆอีกที่น่าเป็นไปได้ แต่พิจารณาหลักๆนี่ก่อนนะ เนื่องจากเราไม่ได้นั่งคุยกัน พี่ป้อมจึงแกะรอยไม่ได้ ให้ดีที่สุดคือ เคลียร์กับเพื่อนซะ ขอพูดกันดีๆ ตรงๆ ด้วยเหตุผล แล้วต้องฟังเค้าด้วย ฟังทั้งหูและใจนะคะ อย่าเข้าข้างตัวเองเป็นอันขาด

   เอาล่ะ ขอให้โชคดีละกันค่ะ พี่ป้อมมีเทคนิคในการดูว่าแฟนดีกับเราจริงหรือเปล่าด้วยนะ ไว้เม้าท์คราวหน้าละกันนะคะ

  

   ใกล้สอบทีไร จะรู้สึกกังวลมากมากทุกที ทั้งกังวลทั้งตื่นเต้น กลัวคะแนนออกมาไม่ดี อ่านหนังสือก็ไม่ค่อยมีสมาธิ เราไม่เคยตกนะ แต่เคยมีหวุดหวิดนานมาแล้ว เพื่อนๆหาว่าเราเริ่มประสาท 

     ตอบ "เดินทางเปลี่ยว"

      มีวิธีที่ทำให้ลดความเครียดกับการสอบมาบอกค่ะ

     1. วางแผนการอ่านทบทวน จัดแบ่งเวลาให้ดีในแต่ละวิชา ซึ่งควรทำตั้งแต่ต้นเทอม

     2. ช่วงใกล้สอบควรมีเวลาพักบ้าง ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง ผ่อนคลายด้วยการฟังเพลง เป็นต้น อ่านมากๆถ้าง่วงก็นอนซะ แล้วค่อยมาอ่านใหม่

   ตอบน้อง "เดินทางเปลี่ยว"

   ขอเสริมของ PC วิวนะคะ

    พี่ป้อมอ่านแล้วน่าเห็นใจมั่กมั่ก เพราะพี่ก็เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน สาเหตุมาจากการเตรียมตัวในระหว่างเรียนไม่ดี พอใกล้สอบก็บุกอ่านหนังสือหนัก เครียดสุดๆ

   ความวิตกกังวลที่มากจนเกินเหตุอาจไปรบกวนสมาธิในการอ่านหนังสือ และมันก็ยิ่งทำให้เรากังวลมากขึ้นไปอีก ถ้าเกิดจากการเตรียมตัวที่ไม่ดี พี่ป้อมมีเทคนิคจากหนังสือ "แนะ 1 นาทีวิธีเรียนเก่ง" ของครูแว่นมาฝาก ไปหาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์เพื่อนรัก  (ห้องพยาบาล) นะคะ

   เทคนิคการบริหารเวลาอ่านหนังสือ เช่น การอ่านโดยมีการเน้นคำ จดจำหัวข้อเรื่อง สรุปภาพรวม ควรอ่านไม่เกิน 1 - 2 ชั่วโมง แล้วหยุดพักสายตาสัก 10 นาที แล้วค่อยอ่านต่อ เมื่อจัดเวลาได้แล้ว หากมีเพื่อนมาชวนไปเที่ยวต้องหัดปฏิเสธให้เป็น

   การกำหนดแผนการเรียนก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยดูว่าเทอมนี้ ช่วงนี้ต้องทำอะไรบ้าง วันกำหนดส่งรายงานเป็นวันไหน จัดเวลาในแต่ละวันให้ดี เหล่านี้เป็นต้น

   แล้วก็ต้องมีการให้เวลาสำหรับการพักผ่อนที่พอดีกับตัวเองด้วยนะ ถ้าไปทุ่มกับการเรียนอย่างเดียวมีหวังเป็นโรคประสาทแบบที่เพื่อนว่าจริงๆล่ะแย่เลย 

  อะ เท่านี้พอใกล้ถึงวันสอบก็สบายละ จะได้ไม่ลุกลี้ลุกลน อ่านหนังสือไปตื่นเต้นไปเหมือนใครเอาไฟลนก้นให้หวาดเสียว (สอบตก)กันอีก

   โชคดีกับการสอบนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท