คืนนี้
ให้นึกแปลกใจเพราะคิดมากไปหรือเปล่า หรือว่านี่คือสิ่งกระตุ้นเตือนให้ลุกขึ้นมาอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวข้างหน้า บรรดาผู้ฟุ้งซ่านก็มักจะคิดมากอย่างนี้เอง ผมเป็นคนหนึ่งที่ฟุ้งซ่าน เห็นทีจะต้องพักเรื่องราวต่างๆไว้ข้างหลังซะบ้าง มิฉะนั้นจิตคงไม่ได้พักผ่อนเป็นแน่
๑. ลางสังหรณ์ ๒.จิตสับสน ๓.เทพนิมิตร ๔.ธาตุกำเริบ นี้คือสาเหตุแห่งความฝันที่ได้เรียนรู้มา ดังนั้นหากใครฝันบ่อยๆ ก็ต้องมานั่งพิจารณาว่าความฝันนั้นเกิดสาเหตุอันใด ฝันที่เป็นจริงกับบรีสนอกจากรายการของคุณไตรภพเมื่อหลายปีที่แล้ว ยังมีฝันที่เป็นจริงอีก ๒ อย่างคือ ๑) ลางสังหรณ์ อันนี้สำหรับบุคคลที่มีสัมผัสที่หก ต้องมีจริงไม่ใช่คิดว่าตัวเองมี ถ้าคิดว่าตัวเองมีก็จะกลายเป็นจิตสับสนไป ๒) เทพนิมิตร นี้หมายถึงเทวดามาเข้าฝัน หรือเทวดานิมิตรบางสิ่งบางอย่างให้เรารับรู้ด้วยความฝัน
ส่วนฝันที่เหลืออีก ๒ นั้นนั่นเองคือความเพ้อฝันได้แก่ ๑) จิตใจที่อาวรณ์ยึดมั่นยึดติดอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วเก็บเอาไปฝัน ๒) การกินมากเกินไป นอนมากเกินไป อะไรที่มันเกินความพอดีอันนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เพ้อฝัน ใช่แล้วเมื่อคืนผมก็เพ้อฝันไปแน่นอน แต่ผมก็คิดว่าความฝันนั้นน่าจะเป็นประโยชน์มิใช่น้อย
ผมฝันไปว่า อาจารย์ตุ้มได้เข้ามาค้นคว้างานวิจัยที่กลุ่มของพวกเราได้ทำขึ้นและนำไปถ่ายเอกสาร ผมเข้าไปปรึกษาว่า ผมจะไปเรียนที่ ม.เกษตรฯ แต่ยังคิดหัวข้อไม่ออก อาจารย์ตุ้มจึงให้หัวข้อมาว่า ให้ศึกษาการสื่อสารของชาวบ้านสิ อันนี้เองเป็นประโยชน์นะ จากประสบการณ์เล็กน้อยที่เราลงไปพื้นที่พบว่า มีชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่ไม่กล้าแสดงออกซึ่งความคิดเห็น เราจะพัฒนาชาวบ้านเหล่านั้นให้กล้าที่จะแสดงออกได้อย่างไร อันนี้ต้องพัฒนา นอกจากนั้นการสื่อสารระหว่างชาวบ้านกับนักวิจัยบางครั้งเป็นคนละภาษากัน จะมีวิธีการอะไรหรือไม่ที่จะทำให้ทั้งนักวิจัยและชาวบ้านได้สื่อสารภาษาเดียวกัน จริงอยู่บางครั้งเราไม่แน่ใจว่า สิ่งที่ชาวบ้านเอาคำของนักวิจัยไปพูดนั้น เขาเข้าใจเนื้อความของภาษานั้นหรือไม่ อีกอย่างหนึ่ง คำของชาวบ้านที่นักวิจัยได้ฟังจำนวนหนึ่ง คำเหล่านั้นนักวิจัยแปลความหมายได้ลึกซึ้งเพียงใด จะมีวิธีการอะไรที่จะสื่อกันและกันได้อย่างสนิทใจ หรือเพียงมองตาก็รู้ใจได้โดยมิต้องระแวง ทั้งชาวบ้านและนักวิจัยก็คือคนเหมือนกันไม่ใช่หรือ เพียงแต่ทำหน้าที่ต่างกันเท่านั้น
นั่นไง น่าจะเป็นประโยชน์อยู่บ้างสำหรับความเพ้อฝันเพื่อการพัฒนาการสื่อสาร
ไม่มีความเห็น