Appreciative Inquiry ศาสตร์แห่งการพัฒนาองค์กร ที่เน้นการร่วมกันค้นหาสิ่งดีๆ ที่เป็นสาเหตุของความสำเร็จในตัวคน องค์กรและสิ่งแวดล้อม เอามาขยายผลแก้ปัญหาหรือสร้างสรรค์นวัตกรรมต่างๆ ให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน ศาสตร์นี้ต่างจากการแก้ปัญหาทั่วไป คือไม่เน้นหาสาเหตุของปัญหา แต่หาสาเหตุของความสำเร็จ ศาสตร์นี้จึงเน้นที่ก่อนทำอะไร...หาประสบการณ์จริงที่ทำสำเร็จในเรื่องนั้นก่อนไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม โดยเชื่อว่าทุกคนทุกองค์กร ทุกสิ่งแวดล้อม มันมีความสำเร็จเป็นประสบการณ์ดีๆ มาก่อน ..
แนวทางมันจะเริ่มจากการ Define ก่อน ...หาว่าคุณอยากทำอะไร .. แล้วเรื่องที่อยากทำให้หาข้อมูลด้วยคำถามเชิงบวก เขาเรียกว่า Discovery เมื่อหาข้อมูลจนอิ่มพอ คุณจะเกิด Idea เองว่าจะนำข้อมูลไปแก้ปัญหาอะไร ตั้งแต่เรื่องเล็กไปถึงใหญ่ นั้นคือการฝัน (Dream) ข้อมูลดีๆ จะทำให้คุณเห็นโอกาสเอง ...จากนั้นเมื่อตั้งเป้าคุณก็ตามมาด้วยการวางแผน (Design) จากนั้นคุณก็จะลงมือทำ (Deliver) ตรงนี้ทำไปสักพัก คุณจะวัดผล คุณก็จะเห็นว่าข้อมูลดีๆ ที่เอาไปทำจริงมันจะเห็นว่ามันได้ผลไม่ได้ผล หรือเจออะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยเจอ ...พูดง่ายๆ ข้อมูลหลังไปทำครบวงจรจะมีสามแบบคือ
แบบ 1. ทำแล้ว Work กับใครอย่างไร ...ตรงนี้เราไปขยายผลในวงกว้าง นี่อาจเกิดฝันใหม่ๆ ขึ้น
แบบ 2. ทำแล้วไม่ work ไม่ work เพราะอะไร ไอ้ไม่ ไนพา เพราะอะไเจอรนี่ก็เอามาเป็นโจทย์ตั้งต้นในวงจรต่อไป
แบบ 3. เจอเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อนทั้งดีไม่ดี (Surprise) หรือเป็นความท้าทายใหม่ๆ ตรงนี้ก็เอามาเริ่มเป็นวงจรค้นหาใหม่ ก็อาจทำให้เกิดการค้นพบใหม่ๆ ที่ทำให้แก้ปัญหาเดิมหรือสร้างโอกาสใหม่ๆ ได้มากขึ้น เกิดฝันใหม่ๆได้
วงจร Appreciative Inquiry เป็นอย่างนี้ครับ
Appreciative Inquiry ก็เหมือนศาสตร์ทั่วไป คำตอบที่คุณเอามาขยายผลนั้นอาจได้ผลในบางกลุ่ม บางกลุ่มอาจไม่ได้ พูดง่ายๆ เหมือนปัญหาทั่วไป คุณแก้ปัญหาหนึ่งได้มันก็จะมีมาใหม่ ...ตรงนี้ Appreciative Inquiry จึงเขียน Diagram เป็นวงจร คือคุณต้องแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ เพื่อให้ฝันคุณเป็นจริง เหมือนคุณค้นพบว่าตัวเองเรียนภาษาอังกฤษเก่ง...ว๊าว ไปเป็นนักแปลดีกว่า นี่ไม่จบจริงไหมครับ...คุณจะไปเจอปัญหาอื่นอีกเช่น..อ้าวแล้วจะหาลูกค้าใหม่ยังไง เพราะลูกค้าเก่าหมดงานแล้ว... หรือไปเจอลูกค้าที่ต้องการภาษาอื่นๆ ทำไงล่ะจะหาใครมาช่วย ที่ช่วยแล้วไม่เอาลูกค้าภาษาอังกฤษของเราไปซะเอง ... นี่ครับ บางครั้งคุณมองไม่เห็นหรอกแต่แรก ต่อเมื่อคุณเริ่มต้นทำอะไรบ้างเรื่องมันจะเห็นลู่ทางหรือปัญหาใหม่ๆ คุณก็ต้องแก้ต้องพัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ จริงไหมครับ
วันนี้ผมจะมาสาธิตง่ายๆ ว่าทำ Appreciative Inquiry เป็นวงจรเป็นอย่างไร ...เดี๋ยวคุณจะเห็นมันแตกหน่อไปเรื่อยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เริ่มจากเรื่องปัญหาการนอนไม่หลับของภรรยาครับ
เอามาเข้าวงจรเลย ก็เริ่มจากการตั้งโจทย์จะทำอย่างไร...เราไม่หาว่าทำไมถึงนอนไม่หลับ เคยถามก็ได้แค่ไม่ง่วง...เครียดหรือเปล่า..ก็บอกว่า OK คราวนี้ก็จำๆได้ครับ หลายครั้งที่ผมแก้ปัญหาอะไรได้นั่นคือ ผมมัก Search Google หาหนังสืออ่าน...ที่สุดก็ Search ไปเจอเรื่อง Insomnia อาการนอนไม่หลับเหมือนภรรยาก็เลยไหาหนังสือมาอ่านได้ Discovery คือ...ทานข้าวเช้า...
นี่เป็นกลไกมนุษย์คือ เมื่อเห็นทางออก เราจะเกิดฝัน...และเราจะวางแผน ลองทำจริง..ได่ผล แต่ก็จะเห็นปัญหาครับ...ปัญหาบางทีเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างคืออารมณ์ดีขึ้น ทำไง ก็ศึกษาด้วยการค้นคว้า เล่มเดิมนั่นเอง ที่บอกคำตอบ
นี่วงจรแรก นี่ผมเจอทั้งแบบ 1 คือ ภรรยานอนหลับ กับแบบ 3 คือเจอภรรยาอารมณ์ดีขึ้น เลยไปศึกษาต่อ เพราะ AI คือการค้นหาสิ่งดีๆ จากไหนก็ได้ จากหนังสือก็ได้ จากประสบการณ์เราเอง คนอื่นก็ได้ เอามาคิดแก้ปัญหา ก็เจอดังข้างบน เลยลงลึก ที่สำคัญรู้สึกเรื่องนี้ชักใหญ่ขึ้น เป็นธรรมดาครับ เราเจอของดีจากคนไกล้ตัว ก็อยากให้คนรอบๆ ตัวในววงกว้างแก้ปัญหาได้ ...ตรงนี้ผมก็เลยตั้งโจทย์ใหม่ๆ อีก คือ "พวกเรา (ลูกศิษย์) และคนสนิท มามีชีวิตดีๆ กันเถอะ ...เห็นไหมครับ ฝันเราเริ่มใหญ่ขึ้น เอาไปทำสำเร็จอีกก็เกิดคำถามอีกว่า มันดีจัง แล้วลูกค้า คนที่ห่างๆ เราจะได้ผลไหม มาช่วยลูกค้ากัน ก็ได้วงจรดังนี้ พอถึง Delivery เกิดผลดังนี้
พอไปทำนอกจากแก้ปัญหาได้แล้ว ยังเจอผลแบบ 3 คือเรื่อง Surpise นั่นคือ เมีลูกศิษย์ถามว่าแฟนเพื่อนงี่เง่าชอบทะเลาะ..ทำไง..ผมเลยเล่าเรื่องข้าวเช้า เธอไปจัดเต็มได้ผลดังนี้ครับ นี่ก็สุดๆเลย
มีว๊าวทานข้าวเช้าช่วยเรื่อง การนอน การเรียน การบริหารอารมณ์ ข้าวเช้า (อาหารหนักไม่ใช่กาแฟหนมปัง ก่อน 8.30 นะครับ) ได้ผลน่าทึ่งก็ทำมาเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็นเป้าหมายใหม่.. แล้วลูกค้าล่ะ น่าจะได้ พอเราขยายวงไปในหมู่ลูกค้าที่เชิญเราไปสอนครับ ก็ได้ผลเหมือนกัน แต่ก็เริ่มมีคนบอกว่ากินข้าวเช้าแล้ว ยังไม่หลับอีก...ทำไงดี.. นี่ผมกำลังเจอผลแบบที่ 2 คือทำไปแล้วไม่ Work กับบางกลุ่มครับ ...ผมก็ไปค้นหาสิ่งดีๆ ที่เคยทำมา ผมเดินทางบ่อย ผมเลยศึกษาวิธีการผ่อนคลาย เพราะบางทีเปลี่ยนที่มันตาค้างนอนไหม่หลับ ไปเจอการหายใจแบบ Pranayama ตรงนี้แหละ แสดงว่ามีมากว่าหนึ่งวิธี ก็ไปเล่าต่อวงจรใหม่ ตรงนี้ถ้าคุณไม่เจอคุณอาจขยายการถามไปถามคนอื่นหลายๆ คน คุณจะได้คำตอบที่เป็นไปได้มากขึ้น สำหรับผมผมแนะนำ App Pranayama ครับ ดีมากๆ
เลยจัดเข้าวงจรที่สาม...
เห็นไหมครับ พอเราทำไปเราจะเจอปัญหาใหม่และโอกาสใหม่ ทำให้เราเริ่มขยายความฝัน ขยายกลุ่มเป้าหมายคุณขึ้นเรื่อยๆ จากภรรยามาลูกศิษย์มาลูกค้าแล้ว มาต่อครับ เอาเรื่องข้าวเช้า ลมหายใจไปเล่าก็ ได้ผลแบบที่ 1 และ 2 แล้ว แต่ก็ทำไปทำไปก็เจอแบบที่ 2 เพิ่มคือเจออีกว่าบางคนบอกว่าข้าวเช้าก็แล้วหายใจให้ดีก็แล้ว บางทีก็ไม่หลับ.. ตรงนี้ถามต่ออัก ไม่หลับเพราะอะไร เครียดกับเรื่องงาน ไม่ชอบงานที่ทำ แสดงว่าการทำงานที่ไม่ชอบอาจเป็นส่วนหนึ่งของการนอนไม่ดี โจทย์ใหญ่ขึ้นแล้ว มาตั้งโจทย์ใหม่กัน "มามีชีวิตที่ดีกัน นั่นคือนอนหลับ และได้ทำงานที่ชอบ...
เข้าวงจรกันดังนี้ แน่นอนครับผมไปค้นคว้าก็เจอ IKIGAI ใน Google เลยสนใจลงลึก เอามาเล่าให้นักศึกษาฟัง ตามวงจรนี้ครับ จากเรื่องนอนไม่หลับมาค้นหาสิ่งที่ใช่ของชีวิต
นี่ครับ IKIGAI ดูจากสารคดีนี้ได้
ผมก็มาขยายผลค่อครับ เข้าวงจรเลย
นี่ครับหน้าตาของ IKIGAI
เจอผลสองแบบ
แบบ 1 เปิดร้านได้จริงเลย ตอนนี้เอามาเป็นตัวอย่างคนอื่นๆ เช่น case นี้ครับ
แบบ 2 ไม่รู้เรื่อง มึนส์ตั้งแต่เรียน มาแก้แบบที่สองกัน
ก็เจออีกว่าไปสอนแล้วมันยาวไปเครียดไป ก็ต้องปรับปรุงการสอนครับ เพราะสอนไม่ดีก็ไม่รู้เรื่อง ทำไม่ได้อีกนี่ก็ขยายเป็นโจทย์ฬหม่อีกดังนี้ ก็อีกครับ ไปนึกถึงประสบการณ์ดีๆ ของตัวเองเวลาคิดอะไรไม่ออก ผมนึกถึงไพ่ทาโรต์ Roots of Asia จำได้ว่าเวลาคิดอะไรไม่ออกเปิดไพ่ชุดนี้จะเกิดความคิดสร้างสรรค์... ก็เลยนึกถึงเทคนิดการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์แบบ Lateral Thinking นี่เองครับ ...ไพ่ชุดนี้อาจจะช่วยทำให้การสอนง่ายขึ้นก็ได้ เลยเอามาทดลองเปิดครู่กับชุดคำถาม IKIGAI ได้ผล การหา IKIGAI เร็วขึ้นง่ายขึ้นกว่าเดิม
Note: นี่ครับ หน้าตาของ Tarot ชนิดนี้ คิดค้นโดยพระอาจารย์อำนาจ (ก่อนท่านบวชท่านเป็นศิลปินมาก่อน)
เอามาเชื่อมโยงกับการหา iKIGAI ได้ดีมากๆ
ไปขยายผลได้ผลคือ
แบบ 1: ได้ผลเร็วขึ้น แต่ก็ยังต้องติดตามต่อ ไอ้ตรงนี้เลยไปค้นพบอีกว่าสอน IKIGAI ไม่พอ ต้องพาทำ ฺBusiness Model Canvas อีก ค้นหาโอกาสอื่นๆ หรือใช้ Model อื่นมาช่วย ...ต้องไปทำ 5D พัฒนา IKIGAI Teaching อีก นี่ก็ทำมาหลายวงจร เริ่มลงตัว แต่คงเขียนไม่ทันในครั้งนี้ครับ
แบบ 3: อันนี้ Surprise คือ พอไปทำเจออีกปัญหาครับ...ลูกศิษยชอบพาลูกมาให้ดู มึนส์ครับ เพราะไม่ชินกับการสอนเด็กๆ...ป.ตรี ยิ่งหนักมากๆ คือม.ปลาย ไปไม่ค่อยถูก...
ทำไงดีก็เข้าวงจรครับ อย่าลืม AI คือการค้นหาสิ่งที่ดีที่สุด..เมื่อสอนไม่ได้ นึกถึงใครที่สอนได้ ได้แล้วครับ Coach Net ...
ผมก็เลยคุยกับ Net ก็แชร์เรื่องดีๆ ประสบการณ์ที่ทำให้ผมเป็นที่รู้จัก ตอนนี้ Coach Net ไปขยายผลเป็นวงจร 5D ของเขาแล้ว มีคนรู้จักมากขึ้น...
Note: ติดตาม FB ของโค้ช Net ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/thamm...
ของผมเอง ฝันของผมใหญ่ขึ้นไปๆมาๆ นอกจากคนไทยไม่กินข้าวเช้า มีปัญหาการนอนแล้ว ที่มากที่สุดคือทำในสิ่งที่ตนไม่ชอบ ร้อยทั้งร้อยเกลียดงานเกลียดชีวิตตัวเอง เลยไม่มีความสุข ผมเลยอยากให้คนไทยรู้จัก IKIGAI ...นี่ครับใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ก็มาต่อทำอยากไรครับ เราต้องเริ่มจากการที่เราเป็น Influencer ก่อน..ทำไงตรับตามมาเลย..
ก็จะเห็นผลดี และ Challenge ครับ ผลดีก็ขยายต่อ ที่ Challenge ...ก็ทำ AI ต่อ ทำถึงไหนครับ ทำจนกว่าฝันคุณเป็นจริง หรือจนคุณพอใจ ถ้าฝันคุณแค่ที่บ้านก็จบ แต่ถ้ายาวไปถึงอาขีพก็ทำจนเกษียณหรือได้ผล ถ้ายาวถึงระดับสังคม นั่นอาจหมายถึงทั้งชีิวิตคุณเลย..ของผมคือแบบหลังสุดครับ
และนี่อีกวงจรครับขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ...ตอนนี้ในการสอน IKIGAI ก็จะเริ่มตั้งแต่การทานข้าวเช้า การหายใจ มาเลย ผมสอน IKIGAI ไปเยอะแล้ว จนไปต่อยอดทำโน่นนี่นั่นก็เจอปัญหาใหม่อีกก็กำลังทำไปเรื่อยๆ ... แต่ฝันของผมไม่เปลี่ยนั่นคือคนไทยมี IKIGAI ตื่นมาแล้วมีความสขุทุกวัน ...ผลที่มไ่คาดคิดคือทำไปสองปี มีลูกศิษย์ HR บริษัทหนึ่งไปเล่าเรื่องนี้และเสนอทำในบริษัทญี่ปุ่น ปรากฏว่ากลายเป็น Project ในระดับเอเชียขึ้นมา ..เกินคาดครับ
MBA ของผมตอนนี้ก็พูดถึง IKIGAI ผมก็ทำมาเป็นหลักสูตรไปโน่น.. ไม่จบครับ จริงๆ มีอีกหลายวงจร
คุณจะเห็นว่านี่คือพัฒนาการจากการแก้ปัญหาในครบอครัว เริ่มขยายไปค้นไกล้ตัว ชั้นเรียน ตอนนี้ผมไปโน่นแล้วครับ ตั้ง IKIGAI School เจาะลึกเปิดเผยข้อมูล และพัฒนาฝีมือตนเองกับลูกศิษย์ไปเรื่อย สร้างกรณีศึกษา และบังเอิญมันเกิดเป็นกระแสขึ้นมาพอดี ...ตอนนี้มีคนอื่นก็ทำครับ ไม่เคยเรียนหมือนกัน ลองไปหาๆกันดูนะครับ ถ้าใครสนใจแนวผมมาดูที่ IKIGAI School นะครับ
Note: FB ของ IKIGAI School คือ https://www.facebook.com/Ikiga...
นี่เป็นตัวอย่างให้เห็นวงจร AI แบบจับต้องได้ครับ
วันนี้พอเท่านี้ เพียงเล่าให้ฟัง ลองเอาไปพิจารณาดูนะครับ
ด้วยรักและปรารถนาดี
ดร. ภิญโญ รัตนาพันธุ์
ไม่มีความเห็น