ทำอย่างไร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม
จะเป็นหัวรถจักรทางปัญญาพาชาติออกจากวิกฤต
โดย
ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี
๑.
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม
คือเครื่องมือยุทธศาสตร์ทางปัญญาของชาติ
ประเทศไทยติดอยู่ในสภาวะวิกฤตเรื้อรัง หาทางออกไม่ได้ การตั้งกระทรวงใหม่ คือกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม ต้องเป็นเครื่องมือของความสำเร็จ ไม่ใช่ล้มเหลวอีกเช่นเคย ต้องมีบทเรียนจากกระทรวงศึกษาธิการ การบริหารโครงสร้างแบบระบบราชการจะทำให้ล้มเหลว เพราะเป็นโครงสร้างแห่งการควบคุม ไม่ใช่เพื่อความงอกงาม และนวัตกรรม
ต้องบริหารฟังค์ชั่นหรือพันธกิจ และบริหารเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์
แก่นแกนหน้าที่ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม คือการสร้างความเข้มแข็งทางปัญญา
ในสมัยโลกาภิวัตน์ ถ้าประเทศอ่อนแอทางปัญญาต้องตกเป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจของประเทศที่แข็งแรงกว่า เช่น ถ้าต่างชาติเป็นเจ้าของธนาคาร เป็นเจ้าของโรงแรม เป็นเจ้าของที่ดินและกิจการต่างๆ เขาย่อมตักตวงผลประโยชน์ส่วนใหญ่ไป โยนเศษเนื้อเศษกระดูกให้เรากิน ติดกับอยู่ในความยากจนเหลื่อมล้ำ จิกตีกันเหมือนไก่อยู่ในเข่ง
เพราะฉะนั้นยุทธศาสตร์ความเข้มแข็งทางปัญญาของชาติจึงสำคัญยิ่ง และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมคือเครื่องมือยุทธศาสตร์ทางปัญญาของชาติ
๒.
สำรวจทรัพยากรคน(Human Mapping)
เครื่องมือของนักยุทธศาสตร์ คือ Mapping
ต้องสำรวจทรัพยากรทั้งหมดที่จะใช้ในยุทธศาสตร์ทางปัญญา ซึ่งต้องไม่มองแต่ในสถาบันการศึกษาเท่านั้น แต่มีอย่างมโหฬารและหลากหลายในที่ต่างๆ เช่น ในชุมชนท้องถิ่น ในภาคธุรกิจเอกชน ในระบบราชการ ในกองทัพ ในภาคประชาสังคม ในองค์กรทางศาสนา ในองค์กรทางการสื่อสาร ฯลฯ ควรจะทำการสำรวจคนไทยทั่วประเทศว่าใครเก่งเรื่องอะไรบ้าง และทำฐานข้อมูลอีเล็คทรอนิค ซึ่งสามารถเรียกดูได้ทันที ฐานข้อมูลของคนไทยทั้งประเทศจะมีประโยชน์มาก เพราะจะทำให้คนไทยทุกคนภูมิใจในตนเองที่ความถนัดความรู้ความสามารถของตนเป็นที่รับรู้ของคนทั้งชาติ
ถ้าเราเคารพแต่ความรู้ในตำราหรือปริญญา คนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะมีเกียรติ คนส่วนใหญ่จะไม่มีเกียรติ ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่มีเกียรติประเทศจะเข้มแข็งได้อย่างไร
เมื่อข้อมูลความเก่ง ความถนัด ความชำนาญของแต่ละคนไปปรากฏในฐานข้อมูลของชาติ แต่ละคนก็อยากทำความดีให้ปรากฏแก่สาธารณะมากขึ้นๆ
ข้อมูลความเก่งของคนไทยทำให้เกิดแหล่งเรียนรู้มากมาย ใครอยากเรียนรู้อะไรก็ไปเรียนกับคนที่เก่งในเรื่องนั้น การได้มีโอกาสเรียนกับคนที่เก่งจะสนุก และสร้างคนไทยที่เก่งๆได้มาก ในระบบการศึกษาที่เป็นทางการในปัจจุบัน ผู้เรียนโดยมากเรียนกับคนที่ทำไม่เป็น ไม่สนุก และสร้างคนไม่เก่งขึ้นมาเต็มประเทศ
ข้อมูลความเก่งของคนไทยยังมีประโยชน์อย่างมากทางเศรษฐกิจ เช่น ที่ใดมีคนทำอาหารหรือขนมอร่อย หรือทำสินค้าหัตถกรรมที่สวยงามผู้คนก็อยากไปท่องเที่ยว หรือทางยุทธศาสตร์อาจส่งเสริมให้คนเก่งในเรื่องเดียวกันรวมตัวกันเป็นสถาบันการผลิต หรือสถาบันการพัฒนาคน
ฉะนั้นถ้าทำHuman Mapping ของคนไทยทั้งประเทศได้ จะเป็นเครื่องมือ ของยุทธศาสตร์ทางปัญญา
๓.
๑๐จุดยุทธศาสตร์ทางปัญญาของชาติ
ที่การศึกษาของเราอ่อนแอ เพราะเป็นการท่องวิชาไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะทำเรื่องอะไรที่สำคัญให้สำเร็จ ยุทธศาสตร์ทางปัญญาต้องมีจุดยุทธศาสตร์ จุดยุทธศาสตร์ในการรบหมายถึง ถ้าทำตรงนี้แล้วจะทำให้ชนะสงคราม
ขอเสนอ ๑๐ จุดยุทธศาสตร์ทางปัญญาของชาติ ดังนี้
กระทรวงใหม่ต้องรวบรวมนักคิดที่เก่งที่สุดจำนวนหนึ่งมาเป็นสำนักคิดที่คิดเรื่องที่สำคัญๆและกระตุ้นให้เกิดสำนักคิดในมหาวิทยาลัยต่างๆ และที่เป็นอิสระ ให้ประเทศมีพลังทางความคิด
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม ต้องบริหารเชิงยุทธศาสตร์ให้มีการสังเคราะห์นโยบายสาธารณะที่ดีให้ได้ เพราะกระบวนการนโยบายสาธารณะที่ดี คือ การยกระดับภูมิปัญญาชั้นยอดของสังคม อันนำไปสู่การพัฒนาอย่างก้าวกระโดf
กระทรวงใหม่ในฐานะบริหารยุทธศาสตร์ทางปัญญาของชาติ ต้องเป็นที่รวมของนักบริหารเชิงยุทธศาสตร์ และไปช่วยบริหารสัมฤทธิศาสตร์ให้เรื่องสำคัญๆของชาติเป็นผลสำเร็จ
กพร.เคยทุ่มเทไปมากในการสร้างนักบริหารยุทธศาสตร์ แต่เมื่อไปอยู่ในกระทรวงต่างๆ ก็ไม่สามารถฝ่าวัฒนธรรมองค์กร และ mindset เดิมได้ ฉะนั้นกระทรวงใหม่ต้องเป็นที่อยู่ของนักบริหารยุทธศาสตร์ แล้วส่งไปช่วยบริหารสัมฤทธิ์ศาสตร์ในเรื่องต่างๆ
ลองทบทวนดูว่าถ้าทำทั้ง ๑๐ จุดยุทธศาสตร์ทางปัญญา ดังกล่าวข้างต้น ประเทศไทยจะมีความเข้มแข็งทางปัญญาและผลสำเร็จสักเพียงใด
ทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้ากระทรวงใหม่บริหารแบบราชการเหมือนกระทรวงอื่นๆ
๔.
กระทรวงที่บริหารเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์
การที่ประเทศพัฒนาได้ยากเพราะการบริหารแบบราชการที่เน้นการควบคุมได้สร้างวัฒนธรรมองค์กร และ mindsetให้เจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างเหนียวแน่นประดุจเป็นดีเอ็นเอของรัฐไทย ได้ถามกันมากว่าจะเปลี่ยน mindsetกันได้อย่างไร แน่นอนว่าเปลี่ยนไม่ได้ด้วยการสั่งสอน หรือแม้การเป็นมหาวิทยาลัยนอกระบบ mindset ก็ยังไม่เปลี่ยนเพราะสื่งแวดล้อมยังเหมือนเคย
สิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยกำหนดวัฒนธรรม ดังที่กลุ่มคนในภูมิประเทศต่างๆมีวัฒนธรรมต่างกัน ที่เรียกว่าความหลากหลายทางวัฒนธรรม
การบริหารเชิงนโยบาย และยุทธศาสตร์ที่มีการใช้งบประมาณเป็นเครื่องมือ เป็นสิ่งแวดล้อมใหม่ ที่จะเปลี่ยนวัฒนธรรม และmindset (mindset เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมธรรม) นโยบายต้องมีงบประมาณที่ไปด้วยกันเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่เป็นแต่วาทกรรมและคำพูดทางวิชาการ แต่งบประมาณเป็นอย่างอื่น อย่างนั้นไม่เรียกว่านโยบาย เป็น wishfulthinking
เพราะฉะนั้นกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม ที่จะเน้นการทำงานทางนโยบายและยุทธศาสตร์ต้องมีการงบประมาณเป็นเครื่องมือด้วย
ต้องมีส่วนงานที่เป็นอิสระซึ่งสามารถแสวงหานักบริหารยุทธศาสตร์เก่งๆจำนวนมาก เพื่อบริหารยุทธศาสตร์ทางปัญญา รวมถึงสามารถไปช่วยงานเชิงกลยุทธศาสตร์ที่กระทรวงต่างๆ หรือมหาวิทยาลัยที่ต้องการทำเรื่องสำคัญๆให้สำเร็จ
โดยที่การบริหารเชิงยุทธศาสตร์จำเป็นต้องระดมคน วิชาการ งบประมาณ และแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ ให้ก้าวข้ามอุปสรรคไปสู่ความสำเร็จ งานยุทธศาสตร์ทางปัญญาของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม ต้องการความเข้าใจและสนับสนุนโดยผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุด คือ นายกรัฐมนตรี และแท้ที่จริงยุทธศาสตร์ทางปัญญาแห่งชาติก็เป็นเครื่องมือให้นายกรัฐมนตรีประสบความสำเร็จในการบริหารประเทศ
โดยที่กลไกของรัฐไม่คุ้นเคยกับเครื่องมือที่เรียกว่าองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระ เพราะคุ้นเคยกับการควบคุม จึงมักไม่สบายใจและเข้ามาสอดแทรกหรือแม้ทำลาย ความเข้าใจและเห็นคุณค่าโดยสังคมจะทำให้การบริหารเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์เติบโตขึ้นได้ในประเทศไทย และพาชาติออกจากวิกฤต
---------------------------------------------------
ไม่มีความเห็น