ผีในวัด


วันก่อนเขียนเรื่อง “ผี” ในโรงพยาบาล ที่จนแล้วจนรอด ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้เจอ (และไม่ต้องมาให้เจอเลยยิ่งดีตลอดชีวิตนี้) มาวันนี้ ผมอยากจะเล่าเรื่อง “ผีในวัด” บ้าง

อนุญาตให้ไปฉี่ก่อนอ่านได้เลย

ราวปี พ.ศ.๒๕๓๔ ผมกำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ ๒ และเมื่อครั้นเรียนจนจบปลายปีก็ถึงคราวต้องออกไปฝึกภาคสนามในวิชาเวชศาสตร์ชุมชน คราวนั้นชั้นปีพวกเราถูกแบ่งออกเป็น ๕ กลุ่มเพื่อไปยังชุมชนส่วนต่างๆในอำเภอนะจ๊ะ เอ๊ย..ขอโทษครับ อำเภอจะนะ กลุ่มผมได้ไปอยู่ที่ตำบลคูนายสังข์

“คูนายสังข์” นั้น ผมได้ข่าวมาว่า เราต้องเข้าไปลึกที่สุดจากถนนเพชรเกษมที่วิ่งลงสายใต้ ผมเป็นคนอาสานั่งท้ายรถกระบะเพื่อเฝ้ากระเป๋าให้เพื่อนๆ ในขณะที่ทุกๆคนจะต้องนั่งรถบัสเข้ามา อารมณ์ขณะนั้นก็จะออกไปทาง “พีท ทองเจือ” ที่มาถ่ายโฆษณาน้ำอัดลมสีดำที่ ม.อ. ตอนผมจบชั้นปี ๑ 

ผมกำลังคิดว่า ตัวเองทำตัวเหมือน “พีท”

แต่ที่ไหนได้

ถนนลูกรังฝุ่งคลุ้งพัดกระจัดกระจายเข้ามายังกระบะด้านหลังของรถ ผมมองอะไรไม่เห็นอีกเลยเพราะต้องหลับตาตลอดทางมาตั้งแต่เริ่มมีการโขยกเขยกของตัวรถบนถนนขรุขระ มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อรถจอดที่จุดหมายปลายทาง “สำนักสงฆ์คูนายสังข์” ผมเห็นป้ายบอกชื่อสถานที่แบบเบลอๆ เพราะครั้นเมื่อเปิดเปลือกตา ผงฝุ่นจากดินลูกรังสีขาวผสมสีส้มก็ร่วงผล็อยๆ หัวผมเป็นสีส้มสนิท

ผมเหลียวมองไปรอบตัว สำนักสงฆ์แห่งนี้มีกุฏิเพียงไม่กี่หลัง อาคารที่อยู่เบื้องหน้าขณะนี้คือ ศาลาเอนกประสงค์ที่ไม่รู้จะเรียกว่าศาลาการเปรียญได้ไหม มันคืออาคารที่มีผนังเพียง ๓ ด้านไม่มีประตู พื้นยกสูงมีใต้ถุน และด้านล่างมีเศษไม้เก่าๆกองอยู่มากมาย หนึ่งในกองนั้นก็มีฐานรองโลงศพวางตั้งอยู่ด้วย ผมเดินขึ้นไปด้านบนเพื่อสำรวจอาคารอย่างคร่าวๆก่อนที่เพื่อนๆจะเดินทางมาถึง พื้นของตัวอาคารถูกแบ่งเป็น ๒ ระดับ ตรงกลางเป็นโถงทางเดินตีเป็นไม้ระแนงห่างๆ เว้นช่องให้มองลงไปใต้ถุนได้ อีก ๒ ข้างทำเป็นพื้นยกสูงปูแผ่นไม้เรียบสนิท พระคงนั่งสวดมนต์และฉันอาหารด้านหนึ่ง ญาติโยมอาจจะนั่งได้อีกด้านหนึ่ง หรือไม่ก็ใช้ประกอบพิธีต่างๆ โดยเฉพาะวางโลงศพ

และแน่นอนว่า เมื่อมีนักเรียนแพทย์มานอน บริเวณพื้นยกสูงนี่แหละที่เป็นที่ปูเสื่อและกางมุ้งหลังเล็กๆเฉพาะตัวได้ข้างละกว่า ๑๐ หลัง เมื่อเก็บเสื่อหมอนมุ้ง อาคารหลังนี้จึงเป็นสถานที่ประชุมของกลุ่มเราได้สบายๆ

พวกผมอยู่คูนายสังข์กันราวสัปดาห์หนึ่ง เพื่อนๆอีก ๔ กลุ่มก็กระจัดกระจายกันอยู่ตามตำบลต่างๆ ป่าชิง สะพานไม้แก่น ขุนตัดหวาย และท่าหมอไทร ในสมัยนั้น เราติดต่อสื่อสารกับเพื่อนๆต่างกลุ่มโดยการส่งจดหมายฝากรถประจำกลุ่มไปครับ ทุกๆเช้า รถของเราจะไปยังกลุ่มไหนสักกลุ่ม และสายๆก็จะกลับมาพร้อมกระดาษจดหมายจ่าหน้าถึงพวกเราเป็นคนๆไป มันน่าเร้าใจกว่าการประชุมกลุ่มประจำวันตั้งเยอะ เนื้อหาในจดหมายก็จะเป็นการบอกเล่าสารทุกข์สุขดิบและนินทาเพื่อนๆกันเสียเป็นส่วนมาก เป็นต้นว่า กลุ่มหนึ่งมีการถูกถ้ำมองจากลูกเณรบ้างล่ะ ตอนอาบน้ำได้ยินเสียงดนตรีไทยท่วงทำนองน่าขนลุกลอยมาบ้างล่ะ บางคนนั่งขี้และฟังเสียงเพื่อนห้องข้างๆท้องเสีย ขี้ไปตดไป มันขำเสียจนต้องแอบกัดเนื้อตัวเองไม่ให้หัวเราะบ้างล่ะ

เห็นไหม จดหมายมีความคลาสสิคชนิดที่เฟซบุ้คให้เราอย่างนั้นไม่ได้

ในทุกๆเช้า พวกผมต้องออกเดินไปในหมู่บ้านเพื่อพูดคุยกับชาวบ้าน ทำแผนที่เดินเท้า และนำข้อมูลต่างๆมาประชุมสรุปงานกันช่วงค่ำของทุกคืน ซึ่งสถานที่ประชุมยามค่ำก็คือโถงทางเดินตีไม้ระแนงห่างๆตรงกลางนั้นนั่นเอง

ผมไม่ค่อยชอบเอาเสียเลย เพราะมันไม่สบาย ลมมันพัดเย็นอยู่ใต้ดาก และที่สำคัญ ผมกลัวใครจะเอาไม้มาแยงตูดจากด้านล่างเอาเสียมาก ดังนั้น บ่อยครั้งที่ผมย้ายตัวเองขึ้นไปนั่งหรือนอนบนพื้นยกสูงข้างๆ สบายกว่ากันเยอะ

และค่ำวันหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นวันท้ายๆของการออกชุมชน เราก็มีการประชุมกันตามปกติ ผมจำได้ว่า อาจารย์วีระศักดิ์ท่านเป็นอาจารย์ที่มานั่งฟังข้อสรุปของกลุ่มเรา อาจารย์นั่งเป็นพระประธานอยู่บนพื้นไม้ระแนงห่างๆนั่น ยิ่งดึกยิ่งเหนื่อย ยิ่งดึกก็ยิ่งง่วง และด้วยสิ่งแวดล้อมรอบๆสำนักสงฆ์ที่มีป่ายางรายล้อม อากาศในยามดึกก็ค่อยๆเย็นลงอย่างรวดเร็ว

“ออด แอด ออด แอด” เสียงมันดังมาจากพื้นใต้ถุนด้านล่าง

พวกเราหยุดคุยและมองหน้ากัน ผมรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว อาจารย์วีระศักดิ์คงทราบถึงความระแวงของลูกศิษย์ ท่านจึงบอกให้มีสมาธิในงานต่อไป ผมขยับตัวเข้าไปชิดเพื่อนคนหนึ่ง

“อออออออด” น่าน..มีการเดินบนกองไม้ด้านล่างอย่างช้าๆด้วย 

เสียงพวกเราเงียบลงอีกครั้ง มันเงียบเสียจนผมนึกไปว่าเหล่าจิ้งหรีดที่ร้องกันอยู่ทุกคืนนั้นมันคงหลับไป หรือไม่มันก็หยุดฟังเสียงแปลกๆไปพร้อมกับพวกเราก็ได้ มีการขยับตัวเข้ามาชิดกันมากขึ้น หลายคนเริ่มขยับขึ้นมานั่งด้านบนซึ่งพื้นไม้เรียบติดกัน ลมไม่โกรกตูด แต่อาจารย์ยังคงนั่งอยู่ที่พื้นไม้ระแนงนั้นเหมือนเดิม

และการเงียบเพียงชั่วอึดใจมันทำให้เสียงที่ไม่อยากได้ยินมันแจ่มชัดมากเหลือเกิน

“แค่กๆ แค่กๆ” มีเสียงคนไออยู่ข้างล่างดังขึ้นมา 

ในเสี้ยววินาทีนั้นนั่นเองที่พวกเราส่งเสียงกรี๊ดขึ้นมาพร้อมกันดังลั่นศาลาพร้อมทั้งกระโดดลงมากอดอาจารย์ที่นั่งเป็นพระประธานอยู่ด้านล่าง

“นั่นมันเสียงคนชัดๆ ใครจะมาอยู่ที่นี่ตอนนี้” ใครสักคนเอ่ยขึ้นมาดังๆ และเริ่มมีสาวๆบางคนร้องไห้

ผมเองก็อยู่ในกลุ่มที่กระโดดลงมาเหมือนกัน จำไม่ได้ว่ากอดใครอยู่

ความเงียบเริ่มเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง เรามองหน้ากัน

“เชี่ย เครียดชิ้บหาย” ผมคิดในใจ ผมยังคิดต่อไปอีก ว่าหากมันเป็นอย่างนี้โดยที่ไม่ได้รู้ความจริงอะไรสักอย่าง ผมคงจะไม่ได้นอนทั้งคืนเป็นแน่แท้

“ไป ไปดูกัน เอาให้มันรู้ให้ได้ ว่าใครมาไออยู่ด้านล่าง” ผมยืนขึ้นบอกเพื่อน และสวดมนต์ในใจว่าขอให้มีคนลงไปดูเป็นเพื่อน

“ปั๊มและชาคริต” เป็นอีก ๒ คนที่ลุกขึ้นยืน ผมโล่งใจลงนิดหน่อยแต่ขายังไม่หายสั่น 

มันต้องเห็นให้ได้ ว่าที่มาของเสียงคืออะไร ผีก็ผีวะ รู้ว่าเป็นผีดีกว่าไม่มีอะไรให้เห็น แบบนั้นผมคงจะบ้าตาย

ไฟฉายคืออาวุธ เราทั้ง ๓ คนเดินลงไปด้านล่างพร้อมๆกัน แล้วผมก็ส่องไฟลงไปที่ใต้ถุนอาคารนั้น

..........................

“ติ๊ง” 

เสียงสัญญาณดังขึ้นพร้อมเสียงประกาศว่าเครื่องบินกำลังลดระดับลงสู่ท่าอากาศยานหาดใหญ่

ตัวเครื่องจะบินเลี้ยวขวาจากทะเลหันเข้าตัวเมือง เราบินผ่านเกาะยอและอ้อมเขาคอหงส์ ผมมองเห็นสนามบินและลานบินจากสัญญาณไฟและแสงสว่างบนลานวิ่ง เมื่อถึงตรงนี้เครื่องก็จะเลี้ยวขวาอีกครั้ง ปีกเครื่องก็จะเริ่มกาง flaps ถึงตรงนี้หากใครนั่งทางแถว A ก็จะมองเห็นกลุ่มแสงไฟของอำเภอจะนะ

สมัยก่อนนั้น บางครั้งผมก็มักจะนั่งมองเครื่องบินจากลานสำนักสงฆ์เมื่อได้ยินเสียงหึ่งของเครื่องบินบนท้องฟ้า คราวนั้นยังไม่อยากขับเพราะอยากเป็นหมออยู่เต็มแรง แต่ที่ยังต้องแหงนมองมันทุกครั้งเพราะเครื่องบินที่กำลังจะร่อนลงนั้นดูเท่ที่สุด

ตอนนี้ก็เหมือนกัน การร่อนลงจอดมันเท่จริงๆ เพียงแต่การมองในคราวนี้มันกลับกันกับคราวนู้น “ผมมองกลับลงไป”

 

ผมคิดถึงวันที่ตัวเองกลัวผีสุดชีวิต แต่ต้องลงไปดูผีให้เห็นกับตาให้ได้

“ผีก็ผีวะ” ผมพึมพัมในใจและเริ่มบริกรรมคาถาหลวงปู่ทวดที่ยายเคยสอนไว้ “นะโมพุทธะสะ.....”

ผมส่องไฟมองเข้าไปใต้ถุน

หมาวัดขี้เรื้อนตัวนั้น มันป่วย มันมีเนื้องอกที่ตูดหรือจิ๋มผมก็ไม่ใคร่จะรู้ แต่มันคงป่วยหนัก มะเร็งอาจจะลุกลามไปทั่วจนทำให้มันผ่ายผอม และ ไอ

“แค่กๆ แค่กๆ” มันยังคงไอให้เราทั้ง ๓ คนดู

“โล่งชิ้บหายเลยว่ะ ว่ามั้ยเพื่อน” ผมปาดเหงื่อ 

ธนพันธ์ ชูบุญคิดถึงนะจ๊ะ

๑๓ กค ๖๑

หมายเลขบันทึก: 648912เขียนเมื่อ 13 กรกฎาคม 2018 23:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 กรกฎาคม 2018 23:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ที่เห็น น่ะ..ผี (หมา)…๕๕๕๕๕…

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท