วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ศาสตราจารย์ นพ.จรัส สุวรรณเวลา มาบรรยายในเวทีประชุมวิชาการศึกษาทั่วไปแห่งประเทศไทย ในหัวเรื่อง "การจัดการเรียนรู้มุ่งสู่ประเทศไทย ๔.๐" ถือเป็นการบรรยายพิเศษครั้งหนึ่งที่ดีที่สุดที่ผมเคยฟัง รู้สึกว่า ตนเองได้เข้าใจในสิ่งที่ตนเองคิดว่าเข้าใจแล้ว เปิดกะลาของกบที่มากด้วยอัตตา จึงเกิดความตั้งใจแน่วแน่ว่า จะนำมาบันทึกแบ่งปันท่าน "ฟัง" และ "อ่าน" .... ซึ่งท่านได้กล่าวเชิญให้นำสไลด์ของท่านไป "ย่อย" ศึกษาได้ตามปรารถนา
พิธีกรแนะนำท่านโดยย่อเกี่ยวกับเกียรติประวัติของท่าน (เชิญคลิกที่นี่ )
ขณะนี้เราได้ผ่านยุคของการศึกษาแบบให้ความรู้ ถ่ายทอดความรู้ หรือ Informative Education มาแล้ว และเข้าสู่ยุคการศึกษาเพื่อการสร้างคนในวิชาชีพ หรือ Formative Education ขยายตัวจากวิชาชีพไปสู่สิ่งต่างๆ เกิดเป็นสารสนเทศด้านต่างๆ
ในยุคของ Formative Education รายวิชาศึกษาทั่วไป ดูเหมือนจะเป็น "ติ่ง" ติดอยู่กับการศึกษาวิชาชีพทั้งหลาย ได้รับความสนใจให้ความสำคัญเฉพาะคนที่สนใจ แต่โดยรวมแล้ว มักถูกบังด้วยการศึกษาวิชาชีพ
ขณะนี้เรากำลังเปลี่ยนเข้าสู่ Transformative Education ที่การศึกษาคือเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงแบบเปลียนรูปไปจากเดิม การศึกษาทั่วไปคืออะไรในการศึกษายุคนี้ คือสิ่งที่ต้องพิจารณากัน
มีการ Transformation เกิดขึ้นหลายอย่าง อย่างหนึ่งคือการเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมหาศาลของความรู้ อาจเรียกว่า Knowledge Explosion ปริมาณองค์ความรู้เพิ่มขึ้นแบบฟังก์ชันเพิ่ม (เอ็กซโปเนนเทียล) ดังภาพ ... ในช่วง ๕ ปีหลัง ความรู้เพิ่มขึ้นมากกว่า ๒๐ ปี หรือ ๒,๐๐๐ ปี ที่ผ่านมา แบบชนิดเทียบกันไม่ได้
ความรู้เกิดขึ้นใหม่เร็ว มันเกิดขึ้นและสะสมเพิ่มพูนขึ้นบนความรู้เดิม แต่อีกด้านหนึ่ง ความรู้นั้นเปลี่ยนไปเหมือนมีชีวิต มีเกิดขึ้น ใช้งาน และดับไป
ตัวอย่างเช่น นิสิตที่เรียนจบแพทย์หากหยุดเรียนรู้เพิ่ม สิ่งที่เขารู้จะใช้ไม่ได้ภายใน ๕ ปี หรือในยุคนี้อาจเพียงแค่ ๓ ปี
ความรู้ในยุค Formative Education เน้นความรู้ที่มีการพิสูจน์ชัดเจน (Explicit Knowledge) แล้วให้ผู้เรียนนำไปทดลองใช้ให้เกิดความรู้ที่ไม่ได้พิสูจน์ชัดเจน ที่หลายคนเรียกว่า ความรู้ฝังลึกในตัวคน (Tacit Knowledge)
ในยุค Transformative Education นี้ ความรู้ไม่เพียงเกิดจากเอารู้เดิมมาทดลองใช้ แต่เกิดขึ้นเองจากการลงมือปฏิบัติ คือเกิดจาก Tacit knowledge และกลายไปเป็นแบบ Explicit Knowledge ต่อไป เกิดเป็นโมดูลาแห่งความรู้ ความรู้เกิดจากความรู้ ... ท่านแนะนำให้ไปศึกษาต่อเองในหนังสือ "สังคมแห่งความรู้ยุคที่ ๒" ที่ท่านเขียนขึ้น
ความรู้ใหม่เกิดขึ้นจากการศึกษาว่า ความรู้เดิมนั้นใช้อย่างไร เหมาะสมอย่างไร มีประสิทธิภาพอย่างไร ความรู้ไม่ได้เกิดขึ้นจากผู้มีความรู้เท่านั้้น แต่เกิดขึ้นกับทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งหมด ฯลฯ มหาวิทยาลัยจะต้องปรับตัวเข้าไปสู่สังคมแห่งความรู้ในยุคที่ ๒ (จะหาอ่านได้ที่ไหนหนอ)
ในยุค Transformative Education ความหมายของคำว่า การจัดความรู้ (Knowledge Management, KM) นั้นเปลี่ยนไป KM กลายเป็นการ "สุมหัว" ของคนต่างๆ กัน แล้วเกิดความรู้ใหม่หรือทฤษฎีใหม่ขึ้น ไม่ใช่ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญแต่เพียงอย่างเดียวแล้ว
การเปลี่ยนปลงที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ การเปลี่ยนแปลงเชิงปัญญา หรือ Cognetive Transformation จากเดิมที่ใช้ Lecture การฟัง การอ่าน เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้เป็นสำคัญแล้วทำให้เกิดปัญญา ในทางพุทธเรียกว่า สูตมยปัญญา
ปัญญาอีกระดับหนึ่ง ได้จากการคิดหาเหตุผล การพินิจพิเคราะห์ต่างๆ เรียกว่า จินตมยปัญญา ซึ่งแต่ก่อน มักเน้นในระดับปริญญาโท ปริญญาเอก แต่ในยุคนนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ในระดับ ป.ตรี นั้นจำเป็นที่จะต้องมีปัญญาในระดับนี้
เมื่อนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ลงมือปฏิบัติ จะมีปัญญาที่เกิดขึ้นจากการได้พินิจพิเคราะห์ด้วยตนเองอย่างถ่องแท้จากประสบการณ์ เกิดเป็นปัญญาปฏิบัติ ทางพุทธเรียกว่า ภาวนามยปัญญา
การสะท้อนการเรียนรู้ (Reflection) จะทำให้เกิดปัญญาอย่างท่องแท้ เกิดการสร้างความรู้ขึ้นในตนเอง (Internalisation) ฝังแน่นในตน ไม่ใช่การอัดความรู้เสียจนไม่มีเวลาได้ Reflection เลย แล้วสำรอกความรู้ออกมาในการสอบ
ผู้เรียนที่เกิด Internalisation นั้น จะเกิดความกระหายที่จะเรียนรู้ เป็น Knowledge Hunger แต่หากไม่เกิด แต่หากอัดความรู้เข้าไปอย่างเดียว จะทำให้เกิดปรากฎการณ์อันหนึ่งขึ้น คือ การเรียนเพื่อไปสอบ พอสอบเสร็จก็วางเลย เกิดสิ่งที่เรียกว่า Intensional Forgetting (ตั้งใจจะลืม) เพราะถ้าไม่ลืมจะเรียนของใหม่ไม่ได้
ความอยากรู้อยากเห็น และเรียนรู้ด้วยตนเอง จะทำให้เกิดปัญญา ซึ่งจะนำไปสู่การวิจัย สร้างสรรค์ เกิดสิ่งที่เป็นนวัตกรรมตามมา
เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Technology Transformation) ซึ่งจเห็นได้ชัดเจนและเกิดการเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ ตามลำดับ
แต่หากสังเกตให้ดีจะพบว่า แต่ก่อนเราตัดสินใจด้วยการใช้สัญชาตญาณบ้าง คาดเดาบ้าง เพราะข้อมูลที่มีจำกัด แต่ในยุคนี้ทุกอย่างมีการพิสูจน์ทดลอง วิจัยอย่างมาก ทุกอย่างมีฐานของความรู้ หลายอย่างสามารถพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำ
การระเบิดของความรู้ (Knowledge Explotion) ทำให้เกิดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว มีโอกาสและทางเลือกมากมาย เกิด Possibilities นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
การค้าเสรีในกระแสโลกาภิวัตน์ นั้น ผู้ที่เป็นเจ้าของความรู้ สามารถที่จะตั้งราคาของสิ่งใหม่ที่คิดขึ้นได้ ผู้ที่ไม่มีความรู้จำเป็นต้องใช้สิ่งนั้น ต้องซื้อของแพงมาก ทำให้ยากจนลงไปเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น หากมียาที่สามารถรักษาโรคให้หายได้ ผู้คิดค้นอาจตั้งราคาให้ผู้ซื้อหมดตัวได้เลย
การดูแลทรัพย์สินทางปัญญา นั้น มีข้อดีข้อเสียในตัวมันเอง สภาพนี้กระทบกับโลกอย่างรุนแรง นำไปสู่ความไม่เสมอภาค และเกิดการทำลายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง
โลกจึงก้าวมาสู่การเปลี่ยนแปลงด้านสังคมอย่างรุนแรง (Social & Sustainability Transformation) โลกยอมไม่ได้ที่จะให้โลกเกิดความเหลื่อมล้ำมากเกินไป โลกต้องก้าวเข้าสู่ความเสมอภาคเท่าเทียม สมดุลและยั่งยืน
เมื่อเกิดโลกาภวัตน์ปี ค.ศ. 2000 ทั่วโลกได้กำหนด MDGs (Milinium Development Goals) ที่จะใช้ในระยะเวลา ๑๕ ปี แต่พอเวลาผ่านไป ๓ ปี จึงรู้ว่า MDGs ไม่มีทางสำเร็จ จึงมีการคิดกันใหม่ขึ้น
มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย มีปรากฏการณ์โลกร้อน มีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมากมาย และที่สำคัญที่สุดคือ เกิดการแตกแยกทางสังคม (Social disruption) เกิดขึ้นอย่างรุนแรง จึงต้องมีการคิดเรื่องการศึกษาต่างไปจากเดิม การศึกษาจะต้องมีการบูรณาการเรื่องต่างๆ เข้ามา นอกเหนือการมุ่งไปสู่ GDP (Gross National Product) อย่างเดียว
มีการตั้ง SDGs (Sustainable Development Goals) เพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนร่วมกัน ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาเกิดขึ้น
การศึกษาจำเป็นจะต้องมีสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์เข้ามา สังเกตว่า การศึกษาทั่วไปจะเน้นเรื่องการบูรณาการแบบนี้
การเปลี่ยนแปลงความรู้ (Knowledge Transformation) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี (Technology Transformation)
มุ่งไปแต่เพียงด้าน GDP ไม่สนใจ Social Growther Index (SGI) มีเพียงประเทสภูฏานเท่านั้นที่กล้าประกาศจะใช้ Gross National Happiness (GNH) เป็นหลัก
ทำให้การนำความรู้ไปใช้ไม่ไปถึงมิติของการพัฒนาสังคมไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ปลอดภัย ไม่เกิดผลไปในทางที่ดี
ส่งผลให้การศึกษาสนใจไปเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้การศึกษาทั่วไปดูด้อยลงไป เป็นเหมือนติ่งหนึ่งในระบบการศึกษา
นอกจากนั้น ยังกระทบไปถึงเรื่องความเป็นมนุษย์ กระทบถึงวิจารณญาณเรื่องความดีความไม่ดี แยกไม่ออกว่าอะไรถูกอะไรผิด ความรับผิดชอบต่อสังคม ถูกกระแสปัจเจกนิยมคือการนิยมตนเองเป็นหลัก เอาตัวรอด ความรู้สึกความยุติธรรมในสังคมถูกทำลายไปมาก
อย่างไรก็ดี ความเป็นมนุษย์นี้ก็ยังคงเหลืออยู่ จะเห็นจากกรณี "ช่วยหมูป่า ๑๓ ตัวออกจากถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน" เป็นต้น
"เศรษฐกิจพอเพียง" เป็นตัวอย่างของค่านิยมที่คนควรจะมีในสังคม ไม่ใช่การฟุ้มเฟ้อ
ดังนั้น ๓ ศาสตร์ดังกล่าว คือ วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และมนุษย์ศาสตร์ เป็นสิ่งที่ต้องผสมกันและสมดุลกันให้ดี และนี่ก็คือบทบาทของการศึกษาทั่วไป
แสดงว่า การศึกษาทั่วไป ที่ปัจจุบันห้อยไว้เป็นติ่งเดียวนั้น ไม่ใช่แล้ว
ในรัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทย ปีที่แล้ว (๒๕๖๐) เขียนไว้ว่า การศึกษาทั้งปวงต้องมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ สามารถเชี่ยวชาญได้ตามความถนัดของตน และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ เห็นไหมว่า ผู้ร่างผู้รู้เขาเห็น .... มหาวิทยาลัยเห็นหรือยัง? นี่คือตัวปัญหา?
จะเห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับคุณธรรม จริยธรรมมากๆ
จะเห็นว่าการศึกษาทั่วไปก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น แต่ดูเหมือนจะใหญ่กว่าการศึกษาทั่วไปมาก หรือในอีกมุมหนึ่ง มันจะทำให้การศึกษาทั่วไปใหญ่ และเป็นตัวหลักจริงๆ ในการศึกษา
ตอนนี้ในต่างประเทศ มีการศึกษาเชิงพลเมืองดีกันมาก (Civic Education) แสดงว่าเขาก็เริ่มให้ความสำคัญ และอาจจะสำคัญกว่าความเชี่ยวชาญด้วยซ้ำไป
มาถึงอีกยุคหนึ่งที่โลกเปลี่ยนไปสู่โลกดิจิตอล หรือ Digital Transformation มี AI (Artificial Intelligence) มีอินเตอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things) เข้ามา ซึ่งจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ทักษะที่ต้องการและจำเป็นในยุคใหม่ก็จะไม่เหมือนเดิม
ลักษณะงานหรืออาชีพของคนก็จะเปลี่ยนไป กลุ่มเป้าหมายของการศึกษาก็ต้องเปลียนไปด้วย จากเดิมที่เน้นศึกษาเฉพาะช่วงอายุหนึ่ง จะเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)
ไม่ใช่เพียงความรู้ แต่ต้องเป็นมีความรู้เพื่อดำเนินชีวิต แม้จะอายุมากแล้ว เกิน ๖๐ ก็สามารถจะเป็นผู้ผลิตได้
ซึ่งการเรียนการสอนจะต้องเปลี่ยนไปด้วย
มหาวิทยาลัยไทยจะต้องปรับตัวเอง หลายมหาวิทยาลัยอาจจะต้องปิดตัวลง มีคนบอกว่ามหาวิทยาลัยที่เรารู้จักกันอยู่ในขณะนี้จะกลายเป็นโบราณสถานไป
มีการกำหนดทักษะของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งแตกต่างอย่างมากจากเดิม
เรากำลังเตรียมมนุษย์สำหรับอนาคต คือคนที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกอนาคต
ICT Literacy ไม่ใช่เพียงเข้าอินเตอร์เน็ตได้ ไม่ใช่ไปค้นหนังสือในอินเตอร์เน็ต แต่ในอินเตอร์เน็ตจะมีสารสนเทศทุกรูปแบบ ไม่ใช่เพียงโลกของตัวอักษร แต่เป็นภาพ เสียง อารมณ์ การเคลื่อนไหวต่างๆ ในอินเตอร์เน็ต
ดิจิตอลคอมพิวเตอร์ เป็นความสามารถในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประมวล และสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ขึ้นมาเป็นสิ่งใหม่ๆ องค์ความรู้ใหม่ หรือวิธีการนำเสนอแบบใหม่ ที่แตกต่างไปจากสื่อการเรียนการสอนที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
ประเทศไทย ๔.๐ คือ สิ่งที่ประเทศไทยอยากจะไปแข่งกับเขาให้ชนะ ดังนั้นเรื่องสมรรถนะทั้งหลายที่กล่าวมาจะต้องมาอยู่ในการศึกษา
หลายคนบอก ๔.๐ เป็นเศรษฐศาสตร์ เป็นอุตสาหกรรม หรือแม้แต่ SDG ก็ยังถกเถียงกันมากว่า จะเอาเรื่องศาสนาเข้าไปใน SDGs แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ใน SDG ไม่มีเรื่องมนุษยศาสตร์ SDG จึงยังเข้าไม่ถึงเศรษฐกิจพอเพียงด้วยซ้ำ
ดังนั้น จุดแข็งของเราคือเรื่องความเป็นมนุษย์ ซึ่งต่างประเทศต้องการและถวิลหาอย่างมาก จุดนี้น่าจะเป็นจุดหนึ่งที่เราสามารถส่งออกหรือเป็นต้นแบบของโลกได้
แต่สิ่งที่ยังเป็นจุดอ่อนของเราคือ "ความเข้มข้นของการดำเนินชีวิต" และ "ความมุมานะพยายามสู่ความสำเร็จ" (Acuity) "ความคล่องแคล่วว่องไว (Agility) เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ฯลฯ ต้องสร้างให้เขามีความมุ่งมั่น
การจะไปถึงประเทศไทย ๔.๐ ต้องไม่ใช่เพียงแต่มีนวัตกรรม แต่ต้องนำนวัตกรรมนั้นไปใช้ประโยชน์ได้ในเชิงสร้างสรรค์สร้างอาชีพด้วย
โจทย์สำคัญของการพัฒนาคนของเรา จะต้องครบถ้วนสิ่งต่างที่แสดงในสไลด์นี้
นอกจาก Professional Excellence ซึ่งต้องทำอยู่แล้ว เราต้องสร้างเด็กให้มีมากกว่านั้น ต้องมี
Knowledge & Cognetive Excellence
Research & Creative Innovative Ability/ Attitude
Entrepreneur Competencies
Communication Fluency
Management, Acuity, Agility
Digital Literacies
Social Virtues & Skills
Civic Responsibilities
คำถามคือ สิ่งที่ว่ามาเหล่านี้ ใช่การศึกษาทั่วไปหรือไม่ ถ้าใช่ แสดงว่า การศึกษาทั่วไปนั้น ไม่ใช่เป็นติ่งหนึ่งของการศึกษาแล้ว
แต่การศึกษาทั่วไปนั้นเป็นฐานจริงๆ ของการศึกษาสำหรับคนที่จะมีชีวิตในอนาคต
ดังนั้นการศึกษาทั่วไปทีเป็น Transformative Education จะต้องเป็น Essential Education เป็นตัวหลักจริงๆ ไม่ใช่เป็นตัวแถม แต่ต้องเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ ที่ต้องมี เป็นฐานจริงๆ
คำถามจึงกลับมาที่ การศึกษาทั่วไป ที่จะเป็น Essential Education ที่เป็นฐานจริงๆ นั้นจะเป็นอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเชื่อมโยงบูรณาการอยู่กับด้านอื่นๆ
นี่คือโจทย์สำคัญของมหาวิทยาลัยด้วยในการที่จะปรับ
โลกปัจจุบันนี้ไม่ใช่โลกของปัจเจกชน เป็นโลกของสังคม แต่ทิ้งปัจเจกชนไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องจัดการให้เกิดความหลากหลาย
การศึกษาจึงควรจะเป็น "การศึกษาสั่งตัด" (ผมเข้าใจว่าท่านหมายถึง OBE) ได้ไหม
คนๆ หนึ่ง เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย สามารถจะเลือกได้เลยว่า เขาจะเรียนวิชาอะไรก็ได้ ให้สอดคล้องกับความต้องการและโอกาสของตนเอง
การศึกษาน่าจะเปลี่ยนเป็นดิจิตอล ข้ามระยะทาง ข้ามเวลา สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ไหม?
แต่ละมหาวิทยาลัยสามารถทำได้ไหมที่ จบมาแล้วบัณฑิตจะมี Signature ที่ชัดเจน เช่น จบจากมหาวิทยาลัยนี้ไป ไม่โกง เป็นต้น
ท่านผู้สนใจ สามารถดาวน์โหลดฟังเสียงสดๆ ของท่านได้
ที่นี่ และดาวน์โหลดพาวเวอร์พอยท์ของท่านได้
ที่นี่ ครับ