57. เมื่ออยู่เหนือใจ ก็จะไร้ทุกข์


57. เมื่ออยู่เหนือใจ ก็จะไร้ทุกข์

ถาม  ผมเห็นท่านนั่งอยู่ในบ้านลูกชายของท่าน รอให้มีผู้นำอาหารกลางวันมาเสิร์ฟ

และผมสงสัยว่า สิ่งที่อยู่ภายในความรู้ตัวของท่านคล้ายกับของผมหรือเปล่า หรือต่างกันบางส่วน หรือต่างกันโดยสิ้นเชิง

ท่านหิวและกระหายเหมือนผมหรือไม่ รอคอยอย่างกระวนกระวายให้มีคนมาเสิร์ฟอาหาร หรือท่านอยู่ในสภาวะแห่งใจที่แตกต่างกับผมโดยสิ้นเชิง

ตอบ  เมื่อมองดูภายนอก มันไม่ต่างกันมากนัก แต่ในระดับที่ลึกลงไป มันต่างกันมาก

เธอรู้จักตัวเอง โดยผ่านทางประสาทสัมผัสของใจเท่านั้น

เธอคิดว่าตัวตนของเธอเป็นไปตามข้อมูลที่ได้รับ มันเป็นแค่ความคิด เป็นเรื่องพื้นๆ เป็นความรู้มือสอง ตามที่ได้ฟังกันมา โดยไม่มีความรู้โดยตรงเกี่ยวกับตัวตนที่แท้ของเธอ

อะไรก็ตามที่เธอคิดว่าเป็นเธอ เธอเชื่อว่ามันเป็นจริง

นิสัยในการจินตนาการว่าเธอคือสิ่งที่สามารถรับรู้ได้ และพรรณาได้ ยึดติดแน่นหนาในเธอ

ฉันเห็นเหมือนที่เธอเห็น ได้ยินเหมือนที่เธอได้ยิน รู้รส้หมือนที่เธอรู้รส กินเหมือนที่เธอกิน

ฉันรู้สึกกระหาย และหิว และคาดหว้งว่าจะมีคนเสิร์ฟอาหารให้ฉันตรงเวลา เช่นเดียวกัน

เมื่อฉันขาดอาหาร หรือป่วย ร่างกายและใจของฉันอ่อนแอ

ทั้งหมดนี้ฉันรับรู้ได้อย่างชัดเจน แต่ฉันไม่ได้อยู่ในอิทธิพลของมัน

ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันลอยอยู่เหนือมัน เหินห่างและไม่ยึดติด

อันที่จริง ฉันไม่แม้แต่เหินห่างและไม่ยึดติด

ความเหินห่างและความไม่ยึดติดมีอยู่ เช่นเดียวกับที่มีความหิวและความกระหาย

ความตระหนักรู้ของทุกสิ่งที่กล่าวมา และความรู้สึกถึงระยะห่างอย่างมากมายก็มีอยู่

ใจ และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมันอยู่ในที่หนึ่งซึ่งไกลสุดขอบฟ้า

ฉันเป็นเหมือนจอภาพยนต์ – สะอาดและว่างเปล่า – มีรูปภาพเคลื่อนผ่านไปบนจอและหายไป ทิ้งให้มันสะอาดและว่างเปล่าเหมือนตอนเริ่มต้น

ภาพบนจอไม่สามารถส่งผลกระทบใดๆต่อจอ และจอก็ไม่ส่งผลใดๆต่อภาพ

จอแค่รับภาพและสะท้อนออกมา มันไม่ได้ทำให้เกิดภาพ

มันไม่เกี่ยวอะไรกับฟิล์มหนัง

ทั้งหมดนี้เป็นอย่างที่มันเป็น เป็นกลุ่มก้อนของโชคชะตา (prarabdha) แต่ไม่ใช่โชคชะตาของฉัน

เป็นโชคชะตาของผู้คนบนจอ

 

ถาม  ท่านไม่ได้หมายความว่า ผู้คนในภาพมีโชคชะตาใช่ไหม

พวกเขาอยู่ในเรื่องราวของภาพยนต์ เรื่องราวของภาพยนต์ไม่ใช่ของพวกเขา

ตอบ  แล้วเธอล่ะ เธอกำหนดชีวิตของเธอ หรือว่าเธอถูกกำหนดโดยชีวิต

 

ถาม  ใช่ ท่านพูดถูก เรื่องราวของชีวิตค่อยๆเผยตัวออกมา โดยมีผมเป็นหนึ่งในตัวละคร

ผมไม่ได้มีอยู่เป็นอยู่นอกจากความเป็นตัวละครนั้น และมันก็ไม่มีอยู่เป็นอยู่ถ้าไม่มีผม

ผมเป็นแค่บุคลิกภาพ ไม่ใช่บุคคล

ตอบ  บุคลิกภาพจะกลายเป็นบุคคล เมื่อเขาเริ่มกำหนดชีวิตของเขา แทนที่จะยอมรับชีวิตอย่างที่มันเป็น และคิดว่าเขาคือชีวิตนั้น

 

ถาม  เมื่อผมถามคำถามและท่านตอบ อะไรเกิดขึ้น

ตอบ  ทั้งคำถามและคำตอบ – ปรากฏขึ้นบนจอ

ริมฝีปากเคลื่อนไหว ร่างกายพูด – แล้วจอก็กลับมาสะอาดและว่างเปล่า

 

ถาม  เมื่อท่านพูดว่า สะอาดและว่างเปล่า ท่านหมายความว่าอย่างไร

ตอบ  ฉันหมายความว่ามันเป็นอิสระจากเนื้อหาภายใน

สำหรับฉัน ฉันไม่ใช่สิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่สิ่งที่คิดขึ้นได้ ไม่มีอะไรที่ฉันจะชี้ไปและบอกว่า นี่คือฉัน

เธอมักผูกโยงสิ่งต่างๆเข้ากับความเป็นเธออย่างง่ายดาย แต่ฉันไม่สามารถทำเช่นนั้นได้

ความรู้สึกว่า ฉันไม่ใช่นี่ ฉันไม่ใช่นั่น หรือไม่มีอะไรที่เป็นของฉัน มันรุนแรงมากในตัวฉัน

แรงมากจนกระทั่งเมื่อความคิดเช่นนั้นเกิดขึ้น จะมีความรู้สึกตามขึ้นมาทันทีว่า นี่ไม่ใช่ฉัน

 

ถาม  ท่านหมายความว่า ท่านใช้เวลาพูดบอกตัวเองซ้ำๆตลอดเวลาว่า ฉันไม่ใช่นี่ ฉันไม่ใช่นั่น อย่างนั้นหรือเปล่า

ตอบ  ไม่เลย ฉันแค่พยายามพูดบอกให้เธอเข้าใจ

ด้วยกรุณาคุณของคุรุของฉัน ฉันได้ตระหนักในครั้งเดียวและตรึงอยู่ในความตระหนักนั้นตลอดไป ว่าฉันไม่ใช่ทั้งประธาน และไม่ใช่กรรม (ในประโยค ประธาน-กริยา-กรรม)

และฉันไม่ต้องคอยบอกตัวเองซ้ำๆตลอดเวลา

 

ถาม  ผมไม่เข้าใจที่ท่านบอกว่า ท่านไม่ใช่ทั้งประธาน และไม่ใช่กรรม

ในขณะที่เรากำลังคุยกันนี้ ผมไม่ใช่กรรมของประสบการณ์ของท่าน และท่านไม่ใช่ประธานหรอกหรือ

ตอบ  ดูนี่สิ นิ้วหัวแม่มือของฉันกำลังแตะนิ้วชี้

ทั้งสองนิ้วต่างแตะและถูกแตะ

ถ้าความสนใจของฉันอยู่ที่นิ้วหัวแม่มือ นิ้วหัวแม่มือือผู้รู้สึก และนิ้วชี้คืออัตตาตัวตน

ถ้าเปลี่ยนความสนใจไปที่นิ้วชี้ ความสัมพันธ์นี้ก็จะกลับข้างกัน

ฉันพบว่า เมื่อฉันเปลี่ยนจุดสนใจ ฉันกลายเป็นสิ่งที่ฉันกำลังเฝ้ามอง และรับรู้ได้ถึงความรู้ตัวที่มันมีอยู่

ฉันได้กลายเป็นประจักษ์พยานภายในของสิ่งต่างๆ

ฉันเรียกความสามารถในการเข้าถึงจุดสนใจอื่นของความรู้ตัวนี้ว่า – ความรัก

เธออาจตั้งชื่อมันว่าอะไรก็ได้

ความรักบอกว่า ฉันคือทุกสิ่ง

ปัญญาบอกว่า ฉันไม่ใช่อะไรเลย

ในระหว่างสองสิ่งนี้ ชีวิตของฉันไหลเรื่อยผ่านไป

เนื่องจากที่จุดใดๆของเวลาและที่ว่าง ฉันสามารถเป็นได้ทั้งกรรมและประธานแห่งประสบการณ์

ฉันแสดงสิ่งนี้โดยกล่าวว่า ฉันคือทั้งสองอย่าง ฉันไม่ใช่ทั้งสองอย่าง และฉันอยู่เหนือทั้งสองอย่าง

 

ถาม  ท่านพูดถึงเรื่องราวที่ไม่ธรรมดาเกี่ยวกับตัวท่าน

อะไรทำให้ท่านพูดเรื่องราวพวกนั้น

ท่านหมายความว่าอย่างไร เมื่อพูดว่าท่านอยู่เหนือที่ว่างและกาลเวลา

ตอบ  เธอถาม และคำตอบก็ออกมา

ฉันเฝ้าดูตัวเอง – ฉันเฝ้ามองคำตอบ และไม่เห็นความขัดแย้งใดๆ

มันชัดเจนสำหรับฉัน ว่าฉันกำลังพูดความจริง

มันเรียบง่ายอย่างยิ่ง

เพียงแค่เธอต้องวางใจฉัน ว่าฉันหมายความอย่างที่ฉันพูด และฉันไม่ได้พูดเล่น

อย่างที่ฉันได้บอกเธอแล้ว คุรุของฉันได้แสดงให้ฉันเห็นถึงธรรมชาติที่แท้ของฉัน – และธรรมชาติที่แท้ของโลก

เมื่อตระหนักว่าฉันเป็นหนึ่งเดียวกับโลก และอยู่เหนือโลก ฉันได้เป็นอิสระจากความต้องการและความกลัวทั้งปวง

ฉันไม่ได้หาเหตุผลว่าทำไมฉันจึงควรเป็นอิสระ – ฉันแค่พบว่าตัวเองเป็นอิสระ – โดยไม่คาดหวังมาก่อน โดยแทบไม่ได้ใช้ความพยายามใดๆเลย

อิสรภาพจากความต้องการและความกลัวนี้ อยู่กับฉันตั้งแต่นั้นมา

อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันสังเกตเห็นคือ ฉันไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามใดๆ การกระทำเกิดขึ้นตามติดจากความคิด โดยไม่มีการชักช้าหรือมีแรงเสียดทานใดๆ

ฉันได้พบอีกว่า ความคิดได้กลายเป็นสิ่งที่เติมเต็มตัวมันเอง สรรพสิ่งจะเข้าที่เข้าทางของมันอย่างลื่นไหลและถูกต้อง

การเปลี่ยนแปลงหลักเกิดขึ้นภายในใจ มันไร้การเคลื่อนไหวและเงียบสนิท ตอบสนองอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ทำให้การตอบสนองนั้นสับสน

ความเป็นธรรมชาติกลายเป็นวิถีแห่งชีวิต ของจริงกลายเป็นธรรมชาติ และธรรมชาติกลายเป็นของจริง

และเหนือสิ่งอื่นใด ความชื่นชอบ ความรัก อันไม่สิ้นสุด มืดสนิทและเงียบเชียบ แผ่กระจายออกไปในทุกทิศทาง โอบล้อมทุกสิ่ง ทำให้ทุกสิ่งน่าสนใจและสวยงาม มีความสำคัญและรุ่งเรือง

 

ถาม  เรามักได้ยินว่า พลังหลายรูปแบบของโยคี เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ภายในบุคคลที่ตระหนักถึงธรรมชาติเดิมแท้ของตน

ท่านมีประสบการณ์เรื่องนี้อย่างไร

ตอบ  ร่างกายที่ประกอบด้วยขันธ์ห้า มีศักยภาพแห่งพลังเหนือจินตนาการที่เราจะวาดภาพได้

ไม่เพียงแต่จักรวาลทั้งหมดจะสะท้อนอยู่ภายในมนุษย์ พลังงานที่ควบคุมจักรวาลก็อยู่ภายในตัวเขา รอเวลาให้เขาใช้มัน

ท่านผู้มีปัญญา ไม่ได้กระตือรือร้นที่จะใช้พลังเหล่านั้น ยกเว้นเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องใช้

ท่านเหล่านั้นพบว่า แค่ความสามารถและทักษะของมนุษย์ทั่วไปก็เพียงพอแล้วในการดำเนินกิจวัตรประจำวัน

พลังงานบางอย่างสามารถถูกพัฒนาโดยการฝึกฝนแบบพิเศษ แต่บุคคลผู้โอ้อวดถึงพลังเช่นนั้น ยังคงอยู่ในบ่วงแห่งการยึดติด

ท่านผู้มีปัญญา ไม่ยึดถือเอาสิ่งใดๆเป็นของตน

ในบางเวลาและสถานที่ มีเรื่องมหัศจรรย์บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับบางท่าน

ท่านจะไม่สร้างความเชื่อมโยงใดๆระหว่างเหตุการณ์และบุคคล และท่านจะไม่ให้มีการสร้างข้อสรุปใดๆไปในทำนองนั้น

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างที่มันเกิด เพราะมันต้องเกิด

ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างที่มันเกิด เพราะจักรวาลเป็นอย่างที่มันเป็น

 

ถาม  จักรวาล ไม่ใช่สถานที่ที่จะอยู่อย่างมีความสุข

ทำไมจึงมีความทุกข์มากมายนัก

ตอบ  ความเจ็บปวด เป็นเรื่องทางกาย ความทุกข์ เป็นเรื่องทางใจ

ถ้าไปเหนือใจ ก็จะไม่มีความทุกข์

ความเจ็บปวดเป็นแค่สัญญาณว่าร่างกายอยู่ในอันตราย และต้องการความเอาใจใส่

ทำนองคล้ายกัน ความทุกข์เตือนเราว่าโครงสร้างของความทรงจำและอุปนิสัย ซึ่งเราเรียกว่า บุคคล (vyakti) ถูกคุกคามโดยการสูญเสีย หรือการเปลี่ยนแปลง

ความเจ็บปวด เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการมีชีวิตรอดของร่างกาย แต่มันไม่ได้บีบบังคับให้เธอมีความทุกข์

ความทุกข์เกิดขึ้นจากการยึดติด หรือการต่อต้าน มันเป็นสัญญาณของความไม่เต็มใจของเราที่จะไปต่อ ที่จะไหลเรื่อยไปตามชีวิต

ชีวิตที่มีสติ จะเป็นอิสระจากความเจ็บปวด

ชีวิตที่หลุดพ้น จะเป็นอิสระจากความทุกข์

 

ถาม  ไม่มีใครต้องทนทุกข์มากเท่ากับผู้หลุดพ้น

ตอบ  ท่านเหล่านั้นบอกเธอหรือ หรือว่าเธอพูดเอาเอง

ความเป็นผู้หลุดพ้น หมายถึงการยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ กลมกลืนกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น

ผู้หลุดพ้น ไม่ต้องการให้สิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงไปจากที่มันเป็น

ท่านรู้ว่า ในแง่ของเหตุปัจจัย มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ท่านเป็นมิตรกับสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ท่านจึงไม่มีความทุกข์

ท่านอาจรู้จักความเจ็บปวด แต่มันไม่ทำให้ท่านร้าวราน

ถ้าทำได้ ท่านจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อให้สมดุลที่สูญเสียไปกลับคืนมา – หรือมิฉะนั้น ท่านจะปล่อยให้สิ่งต่างๆดำเนินไปตามวิถีทางของมัน

 

ถาม  ผู้หลุดพ้นอาจตาย

ตอบ  แล้วไง

ท่านจะได้อะไรจากการมีชีวิตอยู่ต่อไป และท่านสูญเสียอะไรจากการตาย

ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ต้องตาย

สิ่งที่ไม่เคยเกิด ตายไม่ได้

มันขึ้นอยู่กับว่า ท่านคิดว่าตัวเองเป็นอะไร

 

ถาม  สมมติว่าท่านป่วยหนักใกล้ตาย ท่านจะไม่เสียใจและขัดเคืองเลยหรือ

ตอบ  แต่ฉันตายอยู่แล้ว

หรืออาจพูดว่า ฉันไม่ได้มีชีวิต และไม่ได้ตาย

เธอมองเห็นว่าร่างกายของฉันมีพฤติกรรมไปตามอุปนิสัย และเธอก็สรุปเอาจากนั้น

เธอจะไม่ยอมรับว่าข้อสรุปของเธอไม่ได้ผูกกับใคร นอกจากตัวเธอเอง

จงเห็นว่าภาพที่เธอมองว่าฉันเป็น อาจผิดโดยสิ้นเชิง

ภาพที่เธอมองตัวเองก็ผิดด้วยเช่นกัน แต่นั่นเป็นปัญหาของเธอ

แต่เธอไม่จำเป็นต้องสร้างปัญหาให้ฉัน และขอให้ฉันแก้ปัญหานั้น

ฉันไม่สร้างปัญหา และไม่แก้ปัญหา

 

ศรี นิสาร์กะทัตตะ มหาราช

“I AM THAT”

หมายเลขบันทึก: 647387เขียนเมื่อ 18 พฤษภาคม 2018 19:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม 2018 19:05 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท