โสภณ เปียสนิท
นาย โสภณ เปียสนิท ตึ๋ง เปียสนิท

ปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่


โสภณ เปียสนิท

..............................

            พิธีแรกนาขวัญผ่านพ้นไปท่ามกลางฝนฟ้าตกลงสู่พื้นเมทนีดล ขับไล่ความร้อนยามหน้าแล้งให้คลายลงบ้าง ช่างโชคร้ายระหว่างรอยต่อของความร้อนกับความเย็นก่อเกิดพายุที่มากับฝนที่นั่นที่นี่อยู่เป็นระยะ ผลตามมาย่อมแตกต่างกันไป บางคนมีน้ำฝนใช้เพื่อการบริโภค อุปโภค บำรุงรดพืชพันธุ์ธัญญาหารให้เติบโต ออกดอกผลเป็นปัจจัยสี่ให้ใช้ บางคนบางแห่งถูกพายุฝนรุนแรงที่อยู่อาศัย พืชไร่พืชสวนหักโค่นเสียหาย เกิดความเดือดร้อนหนักเบาตามแต่สถานที่และเวลา

            ช่วงเวลานี้นักศึกษาเก่าหยุดพักการเรียนการสอนในชั้นเรียน ออกไปใช้ชีวิตนอกรั้วมหาวิทยาลัย บางคนสมัครเข้าทำงานกับห้างร้านบริษัทต้องการแรงงาน บางคนทำงานกับพ่อแม่ ตามแต่พ่อแม่จะใช้งาน บางคนอ่านหนังสือศึกษาตำรับตำราเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการศึกษาในปีต่อไป บางคนปล่อยเวลาให้ผ่านไป โดยไม่ต้องทำอะไร แต่ไม่ว่าจะอย่างไร วันเวลาก็ค่อยๆ เดินทางไปข้างหน้าโดยไม่ได้กล่าวว่าใคร

            นักศึกษาใหม่กำลังทยอยเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย เพื่อการศึกษาต่อไปในระดับปริญญาตรี โท เอก ตามระดับความรู้ของตน แววตาของเขาเหล่านั้นมุ่งมั่นอยากเข้ามาศึกษาหาความรู้อย่างเต็มความสามารถ ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาเหตุการณ์เหล่านี้ หน้าตาแบบนี้ผ่านมาให้ได้เห็นตลอดมา แต่ไม่นาน เมื่อเขาเหล่านี้ เข้ามาศึกษาเรียนรู้อยู่ไม่นานแววตาที่เคยแสดงความมุ่งมั่นค่อยๆ จางหายไป เพราะในรั้วมหาวิทยาลัยมีหลายสิ่งหลายอย่างในศึกษาเรียนรู้ ทั้งในระบบและนอกระบบ

            ความรู้คู่คุณธรรม คำนี้มหาวิทยาลัยไหนๆ ก็มักเอ่ยอ้างเพื่อให้มหาวิทยาลัยของตนดูดีมีคุณภาพ แต่คุณธรรมเป็นเรื่องตรวจสอบได้ยากในความคิดของนักการศึกษายุค ไทยแลนด์4.0 จึงตรวจสอบความรู้ทั่วไปตามสาขาวิชาที่ได้เรียนก็ถือว่าเพียงพอแล้ว เราจึงมีบัณฑิต ซึ่งหมายถึงผู้มีปัญญาความรู้ มากมายในสังคมนี้ที่มีคุณภาพอยู่ในระดับแตกต่างกัน

            การปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ทุกปีจึงควรมีข้อคิดคำคมมาฝากให้นักศึกษาที่ตั้งใจมาศึกษาเล่าเรียนให้บันทึกไว้เพื่อเป็นกำลังใจของแต่ละคน ดั่งนั้นการปฐมนิเทศจึงมีความสำคัญต่อนักศึกษาใหม่มากมาย หากนักศึกษาเหล่านั้นตระหนักรู้และดำเนินตามแนวทางที่คณะครูอาจารย์ได้นำมาแจ้งให้ทราบ

            อันดับแรกนักศึกษาพึง ศึกษาคน ด้วยการจดจำคณาจารย์แต่ละคนแต่ละท่านว่า เป็นใคร มีตำแหน่งหน้าที่อย่างไร เกี่ยวข้องกับนักศึกษาหรือไม่อย่างไร รู้จักผู้บริหารว่าให้คำแนะนำไว้อย่างไร ถือว่า เป็นการทดลองการจดบันทึกคำแนะนำต่างๆ เหล่านั้นไว้ก่อน แล้วทดสอบความจำว่า หลังจากได้ฟังจนจบแล้วมีแง่คิดมุมมองใดที่เป็นประโยชน์และตนเองยังไม่รู้มาก่อนบ้าง ทั้งเรื่องการศึกษาหลัก และเกร็ดความรู้ที่ผู้อาวุโสผ่านประสบการณ์ชีวิตมานานนำมาถ่ายทอดให้ฟัง

            นักศึกษาพึ่งมีเป้าหมายในการศึกษาให้ชัดเจนแน่วแน่ว่าจะมีศึกษาหาความรู้ เมื่อมาศึกษาแล้ว ครูอาจารย์สอนอย่างไรให้ปฏิบัติตาม โดยไม่เอาความคิดตัวเองเป็นตัวตัดสินว่า ใช่หรือไม่ใช่ ถูกหรือผิด แต่ให้ศึกษาหาความรู้แล้วค่อยๆ พิจารณาในมุมกว้างมากยิ่งขึ้นข้ามกรอบแนวคิดที่ตนเองเคยมีมา เหมือนการตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเรียนเอกภาษาอังกฤษ ก็ต้องมุ่งมั่นหาแนวทางไปสู่เป้าหมายที่ชัดเจน เช่นศึกษาให้ชัดเจนว่า ภาษาอังกฤษนั้น เป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับทักษะ ดังนั้นต้องสร้างยุทธศาสตร์การเรียนรู้เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดทักษะ ทั้งการฟัง การพูด การอ่าน การเขียนภาษาอังกฤษ และจะแคล่วคล่องชำนาญทั้งสี่ทักษะนั้นได้อย่างไร

นักศึกษาพึ่งศึกษาเรื่องการอยู่ร่วมกัน อันดับแรกต้องศึกษาว่ามีสาขา หรือคณะที่เรียนมีครูอาจารย์กี่คนที่จะสอนในแต่ละภาคการศึกษา นิสัยใจคอเป็นเช่นไร ชอบอย่างไร ไม่ชอบอย่างไร ดุมากดุน้อยหรือใจดีไม่ดุเลย เราควรมีปฏิสัมพันธ์กับครูอาจารย์แต่ละบุคลิกอย่างไร จึงจะเอาชนะใจครูอาจารย์เหล่านั้นได้ อันดับถัดมาคือการเข้ากับเพื่อนนักศึกษาด้วยกัน ในชั้นเรียน ในสาขา ในคณะ และในมหาวิทยาลัยให้ได้ เพราะการอยู่ร่วมกัน เป็นหน้าที่ของคนในสังคม เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ใครที่เข้ากับคนอื่นได้ยากถือว่า ยังมีแนวคิดที่ไม่ตรงต่อความเป็นคนที่เป็นสัตว์สังคม ดั่งนั้นการสำเร็จการศึกษา จึงต้องสำเร็จวิชาการอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้อย่างมีความสุขและรู้เท่าทัน

นักศึกษาพึงปรับตัวเข้ากับแนวทางการศึกษาว่า หลักการสำคัญที่ต้องศึกษามีอะไรบ้าง เช่นการศึกษามุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้คู่คุณธรรม เมื่อนักศึกษามาเรียนแล้วต้องมีคุณธรรม คุณธรรมหลัก คุณธรรมรอง และวิชาความรู้เน้นตามวิชาเอกเป็นหลัก วิชาอื่นเป็นรองตามลำดับไป คุณธรรมหล่อเลี้ยงใจ วิชาการหล่อเลี้ยงปากท้องของผู้เรียน เพราะคนเราประกอบด้วยสองส่วน คือกายกับใจ เกิดเป็นคนจึงต้องดูแลทั้งสองด้าน เพราะความเข้าใจผิด ระบบการศึกษาจึงให้ความสำคัญเรื่องคุณธรรม หรือการดูแลจิตใจในระดับรองๆ ลงไป หรือไม่ให้ความสำคัญเลย ซึ่งผลเสียก็เป็นดั่งที่เห็นอยู่ในสังคมปัจจุบันทั่วโลก

นักศึกษาพึงเป็นคนขยัน ขยันเรียนรู้สิ่งที่ต้องเรียนรู้ด้วยไตร่ตรองอย่างรอบครอบ การเรียนวิชาการนั้น ควรจัดแบ่งเป็นสามระยะเวลา ก่อนเรียน กำลังเรียน หลังเรียน ก่อนเรียนจัดเตรียมให้รู้ว่าเรียนอะไร ใช้ตำราเล่มไหน อ่านประกอบทำความเข้าใจไว้ล่วงหน้า กำลังเรียนตั้งใจเรียน จดจำทำแบบสอบถาม เก็บประเด็กหลัก ประเด็นรองไว้ให้ได้ หลังเรียนนำมาจดบันทึกจัดเรียงอย่างเป็นระบบให้จำได้ง่าย

นักศึกษาพึงเป็นคนอดทน การที่จะทำได้อย่างข้อข้างบนนั่น ขยันอย่างนั้นต้องใช้ความอดทนอย่างยิ่ง ผมเองเคยมีประสบการณ์การอ่านหนังสือตำรา ซึ่งแรกๆ เป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง เพราะเป็นวิชาที่เราไม่ชอบเคยรู้จัก บางทีก็ไม่ชอบ บางทีก็ไม่มีพื้นฐานในด้านนั้นๆ จึงทำให้ความฟุ้งซ่านกำเริบได้ง่าย ความง่วงรุกรานได้ง่าย วิธีแก้ไขคือต้องอดทนต่อสู้กับความฟุ้งซ่าน ความง่วงด้วยความอดทน ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะสู้ เริ่มจับประเด็นสำคัญ จดบันทึกย่อ ค่อยๆจำทีละข้อทีละประเด็น ง่วงก็ลุกขึ้นยืนอ่าน ยื่นท่อง นานเข้าก็จำบันทึกย่อได้ จำหัวข้อได้ ขยายความได้ สุดท้ายพลิกแพลงนำไปใช้ได้

นึกศึกษาพึงเข้าร่วมกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัยทุกกิจกรรม เท่าที่เห็นมา นักศึกษาส่วนมากมีความเป็นส่วนตัวติดมาจากบ้าน น้อยรายที่จะมีนิสัยรักการเข้าร่วมกิจกรรม เข้ากับเพื่อนได้ยาก ทำงานร่วมกันไม่ค่อยจะเข้าขากันสักเท่าไร ดั่งนั้น นักศึกษาพึ่งตั้งใจเข้าร่วมกิจทุกอย่างให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยไปเชียร์ก็ยังถือได้ว่ามีส่วนร่วมในบรรยากาศนั้นๆ คนที่เข้าร่วมมากๆ ได้รับประสบการณ์จากการเรียนมากกว่าคนอื่นๆ ถือว่าได้เปรียบ เพราะกิจกรรมส่วนมากในมหาวิทยาลัยก็เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับกิจกรรมที่นักศึกษาต้องไปพบไปจัดทำที่ทำงานในอนาคตของแต่ละคนนั่นเอง

นึกศึกษาพึ่งช่วยเหลืองานของอาจารย์ เพราะการช่วยเหลืออาจารย์ทำให้รู้ว่า อาจารย์มีงานอะไรต้องทำบ้าง อาจารย์มีนิสัยอย่างไร ทำอย่างไรจึงได้มาเป็นอาจารย์ การช่วยเหลืออาจารย์ย่อมทำให้ได้รับเมตตาจากอาจารย์มากกว่านักเรียนนักศึกษาคนอื่นๆ ทำให้ได้เห็นข้อดีของการเป็นอาจารย์ ได้รับฟังความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการนำไปพัฒนาตัวเองในอนาคต เพราะอย่างน้อยความคิดเห็นของอาจารย์ก็ย่อมมีประสบการณ์มากกว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนแน่นอน

นักศึกษาพึงอ่อนน้อมถ่อมตน เคยมีประสบการณ์สอนนักศึกษาที่ตรงข้ามกับคุณธรรมข้อนี้ เขาจะข่มเพื่อนว่ามีความรู้มากกว่าเสมอจนเป็นนิสัย แต่เห็นว่า ไม่หนักหนาอะไร คนเราพัฒนากันได้ จึงไม่ได้สอนอะไรเขาเท่าที่ควรจะเป็น เขาเป็นดั่งนี้จนจบการศึกษาไป ตอนหลังก็วิพากษ์วิจารณ์ครูว่า สอนไม่รู้เรื่อง เป็นดั่งนั้นไปได้ ขาดคุณธรรมข้ออ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก การถ่อมตนทำให้เกิดในตระกูลสูง คำพระท่านสอนมาอย่างนั้น ไปไหนย่อมเป็นที่รักของเพื่อนๆ เป็นตัวตัดมานะทิฐิของแต่ละคนได้อย่างดี คนโบราณกล่าวไว้ให้คิดว่า ถ้าน้ำในกระบอกเต็มจะไม่ดัง เหมือนคนที่มีความรู้มากแล้วจะไม่ถือตัวตน การยกตนข่มท่านคือข่มคนอื่นนั้น เป็นเรื่องกิเลสปกติของทุกคน ไม่ต้องฝึกไม่ต้องฝืนใดๆ เพราะเป็นไปโดยนิสัยอยู่แล้ว ส่วนการอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องฝึกเอาเอง

นักศึกษาพึ่งค่อยๆ ไตร่ตรองภารกิจของตน ทางภาษาพระท่านก็ว่า นิสสัมมะ กรณัง เสยโย ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำกิจการงาน เพื่อเตรียมการวางแผนงานล่วงหน้า พึ่งไตร่ตรองว่า ตอนนี้กำลังเรียนอะไรอยู่บ้าง เรียนแล้วเอาไปใช้อะไร พื้นฐานเดิมของตนมีอะไรอยู่บ้าง นำไปประยุกต์ใช้ร่วมกับความรู้ใหม่บ้างได้หรือไม่ อย่างไร เช่น ครั้งหนึ่งเคยสอบถามนักศึกษาว่า ครอบครัวมีที่ดินอยู่บ้างหรือไม่ นักศึกษาตอบว่ามี เพราะเห็นพ่อแม่ทำเกษตรอยู่ แต่ถามว่ามีอยู่กี่ไร่ ส่วนมากตอบกันไม่ได้ว่ามีเท่าไร เพราะไม่ได้สนใจงานของพ่อแม่เท่าใดนัก แต่การค่อยๆ ไตร่ตรองเชื่อมโยงความรู้ใหม่ที่ได้รับจากมหาวิทยาลัยเข้ากับความรู้พื้นฐานทางบ้านที่มีมาก่อนจะช่วยให้เกิดกิจการงานใหม่ขึ้นได้ เช่นนักศึกษาบางคนโยงวิชาการเรียนรู้ทางด้านการท่องเที่ยวการโรงแรมเข้ากับพื้นฐานทางการเกษตรที่บ้าน กลายเป็นการท่องเที่ยวเชิงเกษตรขึ้นมาได้

นักศึกษาพึ่งตระหนักว่า วิชาความรู้ทั้งหมดที่เรียนไปเพื่อนำไปใช้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ส่วนคุณธรรมนั้นต้องน้ำไปใช้เลี้ยงใจ การเลี้ยงใจนั้นเป็นงานหลัก เพราะใจอาจคิดไปทางใดก็ได้ คิดผิดก็ได้ คิดถูกก็ได้ คิดผิดพาตนเอง ครอบครัว สังคมเดือดร้อน คิดถูกพาตนเองครอบครัว สังคมก้าวไปข้างหน้า ดั่งคำว่าเก่าที่ว่า จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว หมายถึงจิตเป็นเจ้านายผู้นำ มีหน้าที่เหมือนพวงมาลัยรถ หางเสือเรือ ไปให้ตรงทิศทางข้างหน้า ส่วนความรู้นั้นเหมือนเครื่องยนต์ เป็นพลังผลักดันชีวิตให้เดินทางไป

เดินทางไปไหน คำถามนี้คือคำถามสุดท้ายของชีวิต เพราะนักศึกษาพึ่งจักต้องรู้ว่า ชีวิตของคนเรานั้น ต้องตาย ทุกคนต้องตาย การตายกับการเกิดนั้นเป็นขบวนการเดียวกัน ชีวิตที่มีอยู่ ไม่ว่าจะกี่ปีกี่เดือนกี่วันก็จักต้องก้าวไปสู่ความตาย เหมือนดั่งเทียนที่ถูกจุดไว้แล้ว ค่อยๆ ลุกลามให้แสงสว่างแก่โลกแล้วค่อยๆ กัดกินตัวเอง ละลายไขเทียนไปเรื่อยๆ ทีละน้อยๆ บางดวงเทียนดับเพราะแรงลม บางดวงเทียนดับเพราะการกระทำบางอย่างโดยประมาทจากตนเองบ้าง จากผู้อื่นบ้าง บางดวงดับลงตามอายุขัยของตน

เมื่อเป็นดังนี้ นักศึกษาพึ่งระลึกรู้ว่า เกิดมาแล้วมีหน้าที่ ต้องดูแลจิตใจตัวเองให้ดีด้วยคุณธรรมต่างๆ ที่ดีๆ ทุกศาสนา สิ่งใดผิดสิ่งใดถูกจักต้องคิดวิเคราะห์แยกแยะด้วยตนเองได้ถ่องแท้ ต้องดูแลร่างกายตนเองให้ดี เพราะเราต้องใช้ร่างกายนี้ทำประโยชน์ไปจนกว่าชีวิตจักดับลับหายไป และต้องตอบแทนคุณผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูเรามาแต่เล็กจนบัดนี้

หมายเลขบันทึก: 647345เขียนเมื่อ 17 พฤษภาคม 2018 10:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม 2018 10:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

-สวัสดีครับ

-เปิดเทอม..เปิดใจ นะครับ

-รอรังสิ่งใหม่ๆ จากรั้วมหาวิทยาลัย..

-ขอบคุณครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท