โครงการเพาะพันธุ์ปัญญา ดำเนินการมาแล้ว ๔ ปี และเข้าสู่ระยะที่ ๒ (ที่มีเป้าหมายสร้างความยั่งยืนของขบวนการปฏิรูปการเรียนรู้แนวเพาะพันธุ์ปัญญา) ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ มีช่วงเวลาของโครงการ ๒ ปี ผมไปร่วมประชุมคณะกรรมการกำกับทิศทาง ซึ่งเป็นชุดใหม่ มี ดร. เจือจันทร์ จงสถิตอยู่ เป็นประธาน การประชุมครั้งนี้เป็นครั้งแรกของคณะกรรมการชุดนี้
ท่านที่ไม่รู้จักโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา อ่านได้ที่ (๑) ฟังจากรายงานของ รศ. ดร. สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ ต่อที่ประชุม ผมตีความว่า โครงการนี้ได้สร้างรากฐานการปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทย ไว้เป็นอย่างดี ทั้งด้านการพัฒนาครู การจัดรูปแบบการเรียนรู้ และการปฏิรูปโรงเรียน กำลังเกิดเครือข่ายโค้ชทั่วประเทศ ที่ทำงานตามแนวทางที่ ดร. สุธีระ พัฒนาขึ้น และกำลังพัฒนาต่อเนื่อง
โครงการเพาะพันธุ์ปัญญา จัดการเรียนรู้แบบ โครงงานฐานวิจัย หรือ RBL (Research-Based Learning) โดยที่โจทย์วิจัยมาจากชีวิตจริง เน้นมาจากชุมชนโดยรอบโรงเรียน ซึ่งมองอีกมุมหนึ่ง คือ Activity-Based Learning หรือ Inquiry-Based Learning นั่นเอง โดยกำลังจะขับเคลื่อนไปสู่แนวทาง SEEEM ที่เน้นพัฒนาความคิดเชิงระบบ (Systems Thinking) เชื่อมโลกกลไก (STEM) กับโลกอินทรีย์ (SEP – Sufficiency Economy Philosophy)
ผมตีความว่า ผู้ที่ได้เรียนรู้มากที่สุดในทีมงานเพาะพันธุ์ปัญญา คือ ดร. สุธีระ เอง เพราะหลังจากทำงานนี้ไปไม่นาน ท่านก็พัฒนาวลีเด็ด “ถามคือสอน สะท้อนคิดคือเรียน เขียนคือคิด”
ในช่วงที่สองของโครงการเพาะพันธุ์ปัญญานี้ เป้าหมายหลักคือการบูรณาการเข้าสู่ระบบ เพื่อความต่อเนื่องยั่งยืน
ผมเสนอว่า PLC ของครูในโรงเรียน ข้ามโรงเรียน และ PLC Online น่าจะเป็นปัจจัยความยั่งยืนต่อเนื่องที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง หากผมเป็นผู้บริหารโครงการนี้ ผมจะเดินช่วงที่สองด้วย PLC อย่างน้อยก็ 50% ของกิจการ โดยมีเป้าให้ PLC เป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ที่สร้างรากที่หยั่งลึก รากลึกที่อยู่ในโรงเรียน ชุมชน และในวงการครู ที่อยู่บนฐานวัฒนธรรมแนวราบ ที่เน้นการตั้งคำถาม และช่วยกันหาคำตอบ ไม่ใช่มีคน/หน่วยงาน กำหนดสูตรสำเร็จให้ถือปฏิบัติ
PLC เท่านั้น ไม่เพียงพอที่จะให้เกิดความต่อเนื่องยั่งยืน ต้องการ PMS (PLC Management Systems) เพื่อเชื่อมโยงเป็น PLC Network และจัด Annual National PLC Forum เป็นกลไกขับเคลื่อนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และยกระดับ Learning Outcome ของนักเรียน รวมทั้งยกระดับการพัฒนาครูจากการทำงาน ซึ่งหมายความว่า PMS ต้องสร้างกลไกการทำงาน ๓ ด้าน ใช้เงินเพียงปีละ ๑๐ - ๒๐ ล้านบาทก็เพียงพอ
ผมเชื่อว่า PLC ที่ดี ที่ถูกต้อง จะนำไปสู่ systems transformation ของระบบการศึกษาไทย โดยเป้าหมายสำคัญที่สุดคือคือ ศักดิ์ศรีครู ผลลัพธ์หมายเลขหนึ่งของ PLC คือ Learning Outcome ของนักเรียน และหมายเลข ๒ คือการกู้ศักดิ์ศรีครู
เป้าหมายระยะยาวมาก (อาจ ๓๐ ปี) ในความฝันของผมคือ Educational Equity ซึ่งหมายถึงคุณภาพโรงเรียนทั่วประเทศดีพอๆ กัน ไม่ต่างกันมาก โดยตัวแบบคือประเทศฟินแลนด์ ไม่ใช่สหรัฐอเมริกาที่คนในวงการศึกษาไทยนิยมไปเรียนต่อ เราควรส่งครูไปศึกษาต่อที่ฟินแลนด์ ไม่ใช่ที่สหรัฐอเมริกา
มีการพูดกันว่า สมัชชาการศึกษาในพื้นที่ เป็นกลไกอย่างหนึ่งของความต่อเนื่องยั่งยืน
การอภิปรายเรื่องความต่อเนื่องยั่งยืน ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงในระบบบริหารการศึกษาของประเทศ คือกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีคนพูดว่า โครงสร้างในปัจจุบัน สร้างและดูดซับนวัตกรรมไม่ได้ เป็นโครงสร้างที่ผิด ผมใช้คำว่า “จับมือใครดมไม่ได้” คือเป็นระบบที่ไม่มีกลไกให้เกิด accountability นั่นเอง
ผมชี้ให้เห็นว่า ที่ผ่านมาสิ่งที่หัวหน้าโครงการ (คือ ดร. สุธีระ) ทำ มี ๒ ส่วน ในสัดส่วน ๘๐ : ๒๐ คือ Technical Management กับ Systems Management ในระยะที่ ๒ นี้ส่วน ๒๐ ควรต้องขยายตัวขึ้นมาก และใส่มิติใหม่ๆเข้าไป เพื่อสร้างความต่อเนื่องยั่งยืน
เรื่องความต่อเนื่องยั่งยืนนี้ เมื่อฟังท่านประธาน กพฐ. คือ ดร. ปิยะบุตร ชลวิจารณ์ และ ดร. สีลาภรณ์ บัวสาย แล้ว ผมให้น้ำหนัก ๒๐ : ๘๐ แก่กลไกในระบบ (กระทรวงศึกษาธิการ) กับกลไกนอกระบบ ซึ่ง PMS เป็นกลไกนอกระบบที่สำคัญ
เราได้ฟังรายงานของมหาวิทยาลัยพะเยา และมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ได้รับฟัง Success Story หลายเรื่อง ที่ผมชื่นชมที่สุดคือการใช้พลังของนักเรียน พพปญ. ของมหาวิทยาลัยพะเยา กับการจัดการทรัพยากรในพื้นที่ของ มรภ. ศรีสะเกษ ทั้งสองเรื่องเป็นพื้นฐานของความต่อเนื่องยั่งยืน คือจะทำให้ พพปญ. เป็นที่ชื่นชอบในพื้นที่ เพราะเห็นผลต่อคุณภาพการศึกษาในพื้นที่ชัดเจน
ม. พะเยา ให้โควต้าศิษย์ พพปญ. เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยพะเยาโดยตรง แล้วนิสิตเหล่านี้กลับไปที่โรงเรียนเดิมของตนเพื่อแนะนำและสร้างแรงบันดาลใจให้แก่น้องๆ นิสิตบางคนมีศรัทธาต่อโครงการ พพปญ. มากถึงกับตั้งใจเรียนเพื่อกลับไปเป็นครูในโรงเรียนเก่าของตน ฟังเรื่องราวของ ม. พะเยาแล้ว ผมนึกว่า จะเป็นการง่ายมากที่จะเชื่อมโยงนิสิตเหล่านี้สู่ service learning
มรภ. ศรีสะเกษ มีความสามารถสูงมาก ในการเชื่อมโยงกิจกรรมของโครงการ พพปญ. กับ อบจ. ศรีสะเกษ ทำให้นายก อบจ. เห็นคุณค่าและพร้อมสนับสนุนงบประมาณ เพราะเห็นผลเพิ่มคุณภาพของผลลัพธ์การเรียนรู้ชัดเจน
วิจารณ์ พานิช
๖ มี.ค. ๖๑
ติดตามโครงการนี้มาตั้งแต่ต้นเลยครับ