คนไทยส่วนมากไม่ชอบ ไม่ชินกับการจดบันทึกสิ่งที่ได้รับรู้และพบเห็นในแต่ละวัน คงป็นเพราะแต่ไหนแต่ไรมา เราไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจอะไรนักในการดำเนินชีวิต ภูมิอากาศก็ดี น้ำ-ดินอุดมสมบูรณ์ พืชพรรณธัญญาหารก็แสนจะหาง่าย ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เรื่องจะเดือดร้อนถึงขั้นอดตายนั้นยากนัก เรียกว่าธรรมชาติมีส่วนสำคัญในการสร้างลักษณะสำคัญให้แก่คนไทย คือสบายๆ อะไรก็ได้ ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ ฯลฯ จะจดจะเขียนจะบันทึกไปทำไม
แต่แล้ว ... เมื่อโลกไร้พรมแดน เทคโนโลยีทันสมัยก็หลั่งไหลเข้ามาในรูปของเครื่องใช้ สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง นักบริโภคแห่งดินแดนสุวรรณภูมิก็เสพ บริโภคอย่างเมามัน เสริมความง่าย ความสบาย ความสะดวกกันจนไม่ลืมหูลืมตา ปัญหาก็สั่งสมมากขึ้นเป็นลำดับ ราคาของผลิตผลทางเกษตรกับราคาผลผลิตทางเทคโนโลยีต่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับเหว กำลังซื้อถดถอย แต่ความอยากไม่ได้ลดตาม อาชีพแปลกๆ ที่ไม่เคยมีเคยทำก็เกิดขึ้น อาชญากรรม และความรุนแรงหลายรูปแบบก็ปรากฏให้เห็นไม่เว้นแต่ละวัน ... เรียกว่าสังคมรุ่มร้อนแทบลุกเป็นไฟอยู่แล้ว
การศึกษา และ การเรียนรู้ที่จัดที่ทำกันอยู่ถึงเวลาแล้วที่จะต้องปลี่ยนแปลงโดยด่วน จะแก้ไขส่วนไหน อย่างไร ต้องรีบจัดการโดยไม่ชักช้า แต่ต้องเป็นการกระทำที่มีเหตุผล อธิบายได้ และส่งผลกระทบให้มีการเปลี่ยนคนที่เป็นผลผลิตของระบบการศึกษา ให้มีคุณลักษณะสำคัญ คือ รักการเรียนรู้ และ ชอบสู้สิ่งยาก กันให้เต็มที่ ... เรื่องเล็กๆเรื่องหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้ามคือการจดบันทึก ลองสังเกตซิครับว่าตัวท่านเอง หรือคนใกล้ชิดรอบข้าง มีสักกี่คนที่ออกจากบ้านพร้อมด้วยกระดาษและปากกาสักด้ามหนึ่ง และเป็นการกระทำที่สม่ำเสนอ ในแทบทุกโอกาส น้อยใช่ไหมครับ ผมมองปากกาและเขียนบทกลอนจากความคิดคำนึง ไว้นานแล้ว ลองอ่านดูซิครับ ...
จงมอง เห็นปากกา เป็นอาวุธ
เปรียบประดุจ ศาสตรา ค่ามหันต์
พกติดตัว ไปไหนไหน ได้ทุกวัน
ไว้ฟาดฟัน ความไม่รู้ เป็นคู่ตัว
พบสิ่งใด เข้าที มีคุณค่า
หยิบปากกา บันทึกได้ ไม่เวียนหัว
จำไม่หมด จดได้ ไม่ต้องกลัว
บันทึกสิ่ง ดี-ชั่ว ไว้เตือนตน
สวัสดีครับพินิจ.