โสภณ เปียสนิท
นาย โสภณ เปียสนิท ตึ๋ง เปียสนิท

เดินทางหาธรรมที่ถ้ำเชลย


โสภณ เปียสนิท

..............................

            ปีสองพันห้าร้อยหกสิบเอ็ดผมเดินทางกลับบ้านเมืองกาญจนบุรีบ่อย ทุกเย็นวันศุกร์หลังเลิกงานแล้วเป็นต้องกลับเมืองกาญจน์ด้วยความเคยชิน เพราะต้องกลับไปบ้าน คำว่าบ้านมีค่าเสมอ เพราะบ้านหมายถึงความอบอุ่นทางจิตวิญญาณของทุกคน เป็นความสุข เป็นมั่นคงมั่งคั่งของทุกคน ตามหลักของปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิต บ้านเป็นสิ่งสำคัญหนึ่งในสี่สำหรับชีวิตที่ทุกคนยอมรับ ผมเองอาศัยบ้านหลวงมานานเกินกว่ายี่สิบปี ถึงวันนี้ อีกไม่นานจะเกษียณจากราชการ จึงจำเป็นต้องมีบ้าน เร่งรีบลงมือสร้างบ้านบนแผ่นดินที่แม่ให้ไว้

            เมื่อมีบ้านแล้ว ผมนึกถึงการดำรงชีวิตหลังเกษียณตรึกตรองอยู่นานว่า จะดำรงอยู่ด้วยกิจกรรมของชีวิตอย่างไรดี เพราะเคยเห็นข้าราชการหลายคนหลังเกษียณ ต่างออกไปหาแนวทางของตน บางคนอยากอยู่ว่างๆ บางคนอยู่บ้านเลี้ยงหลาน บางคนค้าขายเล็กๆ น้อยๆ บางคนทำธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ บางคนเดินทางท่องเที่ยว บางคนทำงานจิตอาสาตามถนัด บางคนเจ็บไข้ได้ป่วยตามวัย มากบ้างน้อยบ้าง ย้อนกลับมาคิดถึงตนเองว่า จะเอาอย่างไรดี

            นึกถึงเรื่องสามก๊ก ตอนเผาทัพแฮหัวตุ้น ที่เนินพุบ๋อง เล่าปี่กล่าวว่า “วางแผนในกระโจม ชนะตั้งแต่พันลี้” ตรงตามหลักการทางศาสนาว่า “โยนิโสมนสิการ ใครครวญพิจารณาด้วยอุบายอันแยบคาย” อีกสี่ปีจะเกษียณแล้ว ควรจะเร่งวางแผนการในวันข้างหน้าว่าจะดำรงชีวิตอยู่อย่างไรให้พออยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน โชคดีได้ติดตามศึกษาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่9 มานาน จึงตัดสินใจว่าจะอยู่แบบเศรษฐกิจพอเพียง เมื่อมีบ้านแล้ว ก็ต้องปลูกต้นไม้ตามหลักการ “ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก” ผมจึงคิดการปลูกต้นไม้ที่กินได้เป็นหลักไว้ก่อน ทั้งพืชอายุสั้นและอายุยืนยาวไปเรื่อยๆ จึงต้องกลับเมืองกาญจน์ทุกอาทิตย์

            วันเสาร์ที่ผ่านมา ขณะกำลังปลูกต้นไม้พระอาจารย์ที่สำนักสงฆ์เขาหินเทินหัวหิน โทรมามอบหมายงานให้ไปนำน้ำศักดิ์สิทธิ์ในถ้ำเชลยมาให้ท่าน เพื่อนำไปช่วยญาติโยมข้างสำนักสงฆ์ หลายคนเจ็บป่วยมีโรคภัย โดยต้องไปประสานงานกับพระที่วัดลุ่มสุ่ม  เมื่อท่านอาจารย์เมตตามอบหมายงานที่เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ศิษย์ของท่าน ผมประสานงานกับผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ให้ช่วยทำหน้าที่สารถีนำทางไปที่วัดดั่งกล่าว

            บ่ายวันนั้นผมเดินทางจากบ้านท่ามะนาว วังด้ง ข้ามสะพานแม่น้ำแควใหญ่หลังหมู่บ้าน ตัดไปสู่เส้นทางสายกาญจนบุรี-ไทรโยค เลยทางเข้าเมืองมัลลิกาไม่ไกลนัก เราเลี้ยวซ้ายเข้าสู่หมู่บ้านวังสิงห์ เดินทางต่ออีกไม่ไกลถึงวัดลุ่มสุ่ม พบพระอาจารย์หินตามที่หลวงพ่อได้บอกไว้ล่วงหน้า วัดลุ่มสุ่มผมเคยได้ยินชื่อมานาน เพิ่งได้มาเยือนเป็นครั้งแรก พบว่าวัดอยู่กลางหมู่บ้านเหมือนชนบททั่วไป ปากทางเข้ามีบ้านของชาวบ้านสองสามหลัง วัดอยู่ห่างจากถนนเส้นทางหลักราวสามสี่ร้อยเมตร

            ตะวันบ่ายคล้อยลงหลังวัด เงาต้นไม้ใหญ่บังแดดให้กุฏิน้อยใหญ่ได้มาก โบสถ์ขนาดเล็กสีสันสวยงาม น่าจะสร้างมาได้ไม่นานนัก หอฉันหลังใหญ่ขนาดรองรับสาธุชนได้เกือบร้อยคนเก่าแก่ แผ่นไม้ข้างฝามีการปะผุอยู่หลายแผ่น พบพระรูปหนึ่งกำลังทำหน้าที่สงฆ์ตามคำสอนของพระพุทธองค์ กวาดลานวัดอยู่ข้างศาลา เมื่อถามถึงท่านพระอาจารย์หิน ท่านชี้มือไปที่ศาลาหลังเก่านั่น เดินไปยังไม่ทันถึงศาลา เสียงพระอาจารย์ท่านถามลงมาจากข้างบนศาลา “มารับน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์หรือโยม” ผมและผู้ใหญ่บ้านท่ามะนาวยกมือไหว้ พร้อมแนะนำตัว “พระอาจารย์วัดเขาหินเทินท่านสั่งให้มากครับ” พระอาจารย์มองหน้าเราสองคนแล้วยิ้มๆ บอกว่า “อาตมามีน้ำมนต์อยู่ขวดเดียว เราไปเอาจากถ้ำเลยดีไหม จะได้เยอะขึ้นหน่อย” ผมเห็นตะวันบ่ายคล้อยจึงประนมมือสอบถาม “ถ้ำอะไรที่ว่าอยู่ไกลไหมครับท่าน” ท่านคงรู้ทันความคิดของผม “ไม่ไกลโยม ขับรถไปนี่แค่ราว 500 เมตร เอารถไปจอดด้านหน้า แล้วเดินขึ้นไปอีกราว 300 เมตรก็ถึงแล้ว” ผมค่อยโลงใจว่า ไม่ไกลจนเกินไป

            นิมนต์พระขึ้นนั่งเบาะหน้าแล้ว เราออกเดินทันที ออกจากวัดเลี้ยวซ้ายไปอีกนิดเดียวถึงที่หมาย จอดรถใกล้ทางรถไฟสายถ้ำกระแซ มองขึ้นไปทางภูเขาเห็นลานปูนกว้างใหญ่ปลูกต้นไม้สูงขนาดสองวาไว้อย่างเป็นระเบียบ แสดงว่าสถานที่แห่งนี้เพิ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณจากทางการไม่นานนัก เพื่อทำเป็นแหล่งท่องเที่ยว แหงนมองขึ้นไปบนชายเขาเห็นอาคารสีเขียวอ่อนขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน ป้ายข้างหน้าบอกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ถ้ำเชลย

            พระอาจารย์หินเดินนำหน้าผ่านไปทางด้านขวาของตัวอาคาร เรานำถังน้ำขนาดห้าลิตรไปสามถัง ขวดขนาดเล็กอีกสองสามขวด เพื่อบรรจุน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์จากบ่อภายในถ้ำแห่งนี้ เราเดินตามบันไดปูนขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ละก้าวของพระอาจารย์มันคงค่อนข้างเร็ว เราสองคนเดินตามและสอบถามนั่นนี่ไปเรื่อยเพื่อชะลอให้ท่านช้างอีกหน่อย แต่ท่านยังคงเดินสบายๆ ตามปกติ ขณะที่เราสองคนเริ่มหายใจทางปากกันแล้ว ลมหายใจถี่ขึ้น ดังขึ้นอย่างสังเกตได้ชัด ในที่สุดผู้ใหญ่ที่เดินเคียงพระอาจารย์หยุดพักลงชั่วขณะ ผมยังค่อยๆ ก้าวช้าๆ ชมนกชมไม้ทำทีเหมือนว่ากำลังซาบซึ้งกับธรรมชาติรอบตัว กอรวกขึ้นอยู่โปร่งๆ ไม้ใหญ่อื่นๆ มีอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก โชคดีที่ดวงตะวันบ่ายคล้ายไปมากแล้ว ไม่อย่างนั้นเราคงเหงื่อชุ่มมากกว่านี้

            พระอาจารย์เดินนำหน้าเล่าเรื่องถ้ำเรื่องท่านสลับกันไป “ท่านมาอยู่นี่นานยังครับ” ผู้ใหญ่ถามขึ้นในตอนหนึ่ง “ไม่นานโยม ยังไม่ครบปี และกะว่าจะอยู่สักปีเดียว ทำน้ำมันมนต์ไว้แจกญาติโยม” ท่านบอกจุดประสงค์ของการมาอยู่ที่นี่ วัดในชนบทค่อนข้างเงียบสงบห่างไกลสังคมเมือง “บ้านเดิมอยู่ที่ไหนครับ” “อ่อ อยู่แถวปรังกาสีโน่น” พระตอบแบบสบายๆ “พอมาบวชแล้วสบายใจดีเลยอยู่เรื่อยมา นี่ก็สามสี่พรรษาแล้ว” ผู้ใหญ่ถามต่อ “ไม่คิดสึกหรือครับท่าน” ท่านตอบอย่างรวดเร็ว “ไม่คิดหรอกโยม อยู่แล้วสบายใจดี มีความก้าวหน้า”

            ผมสงสัยเรื่องความก้าวหน้าของท่าน “ก้าวหน้าอย่างไรครับท่าน” ท่านตอบขณะก้าวเท้าไปข้างหน้าเรื่อยๆ “กะไว้ว่า ปีหน้าจะเข้าไปแสวงธรรมที่ประเทศพม่า และปีต่อไปจะไปประเทศอินเดีย เยือนสังเวชนียสถานที่ประสูติตรัสรู้ปรินิพพานของพระพุทธองค์ หากบุญบารมีพอคงได้ไป หวังไว้อย่างนั้น” “ครับก็ดีครับท่าน ได้เปิดหูเปิดตา เปิดโลกทัศน์” พระท่านพูดต่อ “ถือเป็นความก้าวหน้าของอาตมา เพราะอยู่ที่บ้านก็โลกแคบ ชุมชนแคบๆ นี่แค่ความก้าวหน้าด้านเดียวนะ” “ยังมีความก้าวหน้าอื่นอีกหรือครับ” “ความก้าวหน้าทางธรรมไงโยม” พระท่านมองสองด้าน “อ่อ ก้าวหน้าอย่างไรครับท่าน” ผมสนใจความก้าวหน้าทางธรรมของท่าน เพราะพระปฏิบัติธรรมค่อนข้างหายาก ที่ปฏิบัติอยู่ส่วนมากท่านก็ไม่อยากบอก เก็บเงียบไว้เป็นเรื่องส่วนตัวปัจจัตตัง

            “อาตมาได้เรียนการปฏิบัติธรรมกับท่านอาจารย์วัดเขาหินเทินมาเมื่อปีกลาย ปีนี้ก็เร่งปฏิบัติอยู่ “พยายามศึกษาเล่าเรียนปริยัติธรรมไปด้วย แล้วปฏิบัติไปด้วย” ผมรู้สึกดีใจว่าท่านเดินมาถูกทางแล้ว ใช้ปริยัติธรรมเป็นแผนที่ เมื่อมีแผนที่แล้วก็เดินทางด้วยการปฏิบัติตามกันไป “สาธุครับท่านถูกต้องดีแล้ว”

            เดินกันมาถึงหน้าถ้ำเชลย มีป้ายแผ่นใหญ่เขียนไว้พอได้ใจความว่า สมัยสงครามโลกครั้งที่2 ญี่ปุ่นต้องการส่งกองกำลังและอาวุธยุทโธปกรณ์ กองเสบียงผ่านจากเมืองไทยไปพม่า จึงใช้ทหารจากประเทศต่างๆ ที่ตนยึดครองได้ นำมาเป็นเชลยและใช้ทำงานหนักสร้างทางรถไฟ กล่าวกันว่า ทหารเชลยเหล่านั้นทนงานหนักไม่ไหว ทนไข้ป่าไม่ไหวล้มตายลงเป็นจำนวนมาก จนมีคำเปรียบเทียบกันว่า ผู้ตายเหล่านั้นมีจำนวนเท่าไม้หมอนทางรถไฟสายนี้ ซึ่งต่อมาถูกเรียกขานว่า “รถไฟสายมรณะ หรือ สะพานมรณะ” ภาษาอังกฤษว่า Dead Brigde. คือสะพานข้ามแม่น้ำแควใหญ่ เมื่อสร้างทางรถไฟมาถึงบ้านลุ่มสุ่มแห่งนี้ จำนวนทหารป่วยไข้มีมากขึ้น จึงให้ไปพักหลบฝนหลบแดดในถ้ำแห่งนี้ หลายคนเสียชีวิตก็ทิ้งไว้ในถ้ำ หลายคนเป็นไข้หนักถูกปล่อยให้เผชิญไข้ไปตามอัตภาพ ทหารเชลยนายหนึ่งชื่อ จอห์น โคสท์ นำเรื่องนี้ไปบอกทหารญี่ปุ่น ทหารญี่ไม่เชื่อจึงนำมาทดลองให้ทหารฝ่ายตนที่เป็นไข้เจ็บป่วยมาดื่มน้ำจากบ่อศักดิ์สิทธิ์ในถ้ำ ปรากฏว่าหายจากโรคร้ายเกือบทุกราย ด้วยความดีที่นำข่าวนี้มาแจ้ง ทหารญี่ปุ่นจึงแต่งตั้งให้นายจอห์นเป็นหัวหน้าคนงาน รอดกลับประเทศออสเตรเลียไปได้ กลับมาเยือนไทยจึงเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนได้รู้กันทั่วไป

            หน้าถ้ำเชลยกว้างใหญ่ มีบันไดเหล็กทอดลงไปสู่ก้นถ้ำได้อย่างสบาย หน้าถ้ำมีแผงโซ่ล่าเซลส่งไฟฟ้าเข้าไปให้แสงสว่างภายในถ้ำ ยืนสงบนิ่งอาราธนาบารมีสมเด็จองค์ปฐมบรมสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการกำหนดจิตระลึกให้เห็นภาพนิมิตของพระพุทธองค์กลางท้องพยายามให้นิ่งให้มากที่สุด ขอพึ่งบารมีของครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เคารพนับถือทุกองค์ แผ่เมตตาให้กับดวงวิญญาณทุกดวงที่อยู่ในบริเวณนี้ แล้วไต่บันไดลงไปเรื่อยๆ ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปจึงก้มลงกราบพระอีกครั้ง

            หันไปมองทางพระอาจารย์หิน ท่านเดินไปมุมถ้ำด้านขวาใช้ถ้วยตักน้ำจากช่องเล็กๆ ใต้ก้อนหินติดผนังถ้ำใส่ขวดขนาดห้าลิตรไปเรื่อยๆ ถือโอกาสเดินชมบริเวณรอบๆ ถ้ำไม่ไกลนักลึกๆเข้าไปมองไม่เห็น ลืมเตรียมไฟฉายมาด้วย อาศัยแต่แสงจากไฟของโซล่าเซลจนพระอาจารย์หินตักน้ำจากบ่อศักดิ์สิทธิ์เต็มสองขวดใหญ่ และอีกห้าขวดเล็ก ผู้ใหญ่บ้านถือขวดใหญ่และขวดเล็กเข้าไปตักแทนที่พระอาจารย์ แปลกที่น้ำไม่ขุ่นจากการตักเลย ลองดื่มน้ำดูจืดสนิทน้ำเย็นและสะอาดมากจนรู้สึกประหลาดใจ

            ผู้ใหญ่ตักน้ำเสร็จน้ำแค่ยุบลงไปหน่อยเดียว หันไปถามพระอาจารย์ “น้ำจะหมดไหมครับนี่” พระอาจารย์ตอบเบาๆ “ไม่เห็นเคยหมด อยู่อย่างนี้มานานแล้ว รุ่งเช้าก็เต็มเหมือนเดิมอีก” “น่าแปลกใจนะครับว่า เหตุใดน้ำตรงนี้จึงศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้” ผมยกมือไหวก่อนสอบถามท่าน “พระอาจารย์วัดเขาหินเทินบอกว่า พระผู้ทรงอภิญญาในอดีตท่านเห็นความทุกข์ยากของคนและสัตว์สมัยนั้นขาดทั้งหมอและยา จึงอธิษฐานจิตขอให้น้ำตรงนี้ศักดิ์สิทธิช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บป่วยได้”

            สนทนาในถ้ำกันชั่วครู่ เราพากันเดินหิ้วน้ำกลับออกมาจากถ้ำ สนทนากันมาตลอดทางเรื่องการแสวงหาธรรมปฏิบัติ พระอาจารย์เมตตาตอบคำถามที่สงสัยและเล่าเรื่องการปฏิบัติของท่านให้ฟัง ท่านบอกว่าขอเดินทางสายสีขาวสงบเย็นนี้ไปเรื่อยๆ ครั้งหนึ่งท่านนั่งเข้าที่ภาวนาจิตรวมลงเป็นหนึ่งแล้วมองเห็นพระอีกรูปที่คุ้นเคย แต่อยู่กุฏิไกลกันมากนั่งดื่มน้ำชาอยู่ ท่านบอกว่านี่เป็นประสบการณ์แปลกที่ท่านประสบมา 

หมายเลขบันทึก: 645846เขียนเมื่อ 20 มีนาคม 2018 11:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มีนาคม 2018 11:14 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

-สวัสดีครับ

-ผมอ่านบันทึกนี้ด้วยความอิ่มใจครับ

-เคารพจากใจอันบริสุทธิ์ถือว่าศักสิทธิ์มากครับ

-หากมีโอกาสคงได้ไปเยือนถ้ำแห่งนี้บ้าง

-มีบ่อยครั้งที่ผมมักจะได้รับคำถามว่า"ปลูกอะไรดี? ปลูกแล้วจะขายที่ไหน? จะทำได้จริงๆ หรือ?

-ณ เวลานี้คำตอบมิใช่อยู่แห่งหนหรือไกลไปจากเรา เพราะว่าคำตอบจะอยู่ที่ตัวเราเองครับ

-เราไม่สามารถเปลี่ยนใจใครได้นอกจากใจตน...

-ปรับและเริ่มที่ตัวเราเองก่อนเพียงเท่านี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วครับ

-เพราะชีวิตคือการเรียนรู้ ดังนั้นการเรียนรู้จึงไม่มีที่สิ้นสุด

-ผมเชื่อเช่นนั้นครับ...

-สาธุ...กับบทความนี้ด้วยนะครับ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท