Bitcoin เงินของโลกอนาคต


                      ในอดีตการแลกเปลี่ยนสินค้า และบริการของคนเรานั้นเริ่มจากการแลกเปลี่ยนสิ่งของต่างๆ ที่มีมูลค่าใกล้เคียงกันโดยตรง หรือเรียกว่าการ “Barter” ก่อนจะมีการพัฒนาแนวคิดในการใช้ “เงิน” เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการแทน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและมีความเป็นมาตรฐาน ทั้งนี้ เงินแบบธนบัตรที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันนั้น โดยทั่วไปจะถูก Backup ด้วยทองคำหรือเงินสำรองระหว่างประเทศ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศ ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือและมีมูลค่าที่สะท้อนตามความเป็นจริง

                      ปัจจุบัน มีวิวัฒนาการใหม่ของสื่อกลางที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนขึ้นมาอีกประเภทหนึ่ง นั่นคือ Crypto currency ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกับเงินแบบธนบัตร แต่อยู่ในรูปแบบดิจิตอลแทน Crypto currency (เรียกง่ายๆว่าเงินดิจิตอล) ถูกพัฒนาขึ้นโดยอาศัยระบบบริหารฐานข้อมูลแบบ Blockchain ซึ่งค่อนข้างมีความปลอดภัย ปลอมแปลงข้อมูลความเป็นเจ้าของและปริมาณที่ถือครองอยู่ได้ค่อนข้างยาก ทั้งนี้ เงินดิจิตอลแต่ละสกุลจะมีการจำกัดจำนวนเหรียญ (Coin) หรือเงินที่จะออกมาเพื่อเป็นการจำกัดการด้อยค่าของเงิน โดยในช่วงเริ่มต้นนั้น ผู้ที่ต้องการเงินดิจิตอลจะต้องนำเอาเงินสดมาแลกและจะสามารถใช้เงินดิจิตอลนั้น ในการซื้อขายชำระราคาสินค้า โอนให้แก่ผู้อื่น หรือใช้เป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุน

                      เงินดิจิตอลนั้นมีหลากหลายสกุลด้วยกัน แต่ที่เก่าแก่นั้นเริ่มจาก Bitcoin ที่เป็นเงิน Digital สกุลแรกในปี 2009 ขนาดของตลาดเงินดิจิตอลนั้นมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ประมาณการว่ามีมูลค่ารวมอยู่ที่ประมาณ 8.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯซึ่งขยายตัวถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี 2016 โดย Bitcoin เป็นสกุลเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีขนาดคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 52% ของตลาด นอกจากนี้ เงินดิจิตอลยังเริ่มได้รับความนิยมและมีผู้ให้ความสนใจในวงกว้างมากขึ้น โดยมีตัวเลขผู้ใช้งาน Cryptocurrency แล้วมากกว่า 3 ล้านคนทั่วโลก และ ในต่างประเทศนั้น มีหลายหน่วยงานได้เริ่มมีแนวคิดที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกรรมการเงินในฐานะตัวกลางของระบบการชำระเงิน หรือการโอนย้ายเงิน เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวคิดที่จะสร้าง FedCoin ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นตัวกลางในการ Clearing แทน Cheque แบบกระดาษที่ใช้เวลานานในการตรวจสอบและมักจะถูกปลอมแปลงอยู่บ่อยๆ หรือธนาคารกลางแคนนาดามีแนวคิดที่จะพัฒนา CadCoin ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นตัวกลางในการโอนเงินระหว่างธุรกิจขนาดใหญ่ (B2B)  กลุ่มธุรกิจ Startup ในต่างประเทศยังเริ่มใช้เงินดิจิตอลระดมทุนเรียกว่าการทำ ICO (Initial Coin Offering) โดยในปี 2017 มีการระดมทุนแบบ ICO ไปแล้วมากกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับที่ระดับ 101 ล้านดอลลาร์ในปี 2016 (ข้อมูลจาก Smith & Crown) ซึ่งกระบวนการ ICO นั้นจะทำผ่านช่องทาง Online และอยู่ในรูปแบบ Digital ทำให้สามารถดำเนินการได้รวดเร็วและกระจายไปถึงผู้ที่สนใจได้ทั่วโลก โดยไม่มีข้อจำกัดว่าบริษัทจะตั้งอยู่ที่ใด ทำให้มีหลาย Project ที่สามารถระดมทุนได้ภายในระยะเวลาอันสั้น เช่น Storj Labs ที่ทำ Project ให้บริการ Data Center แบบ Cloud Service สามารถระดมทุนแบบ ICO ได้เงินไปถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในเวลาเพียง 6 ชั่วโมง

                       แม้ว่า เงินดิจิตอลจะเริ่มได้รับความนิยม และเริ่มมีความเห็นว่าอาจเข้ามาแทนที่เงินกระดาษได้ในอนาคต แต่ในขณะนี้ เงินดิจิตอลยังไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็น “เงิน” ประเภทหนึ่งอย่างเต็มปากเต็มคำมากนัก จากการที่ยังไม่สามารถตอบโจทย์คุณสมบัติที่สำคัญสองประการของเงินที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน คือ การที่มีมูลค่าในตัวเองและมีสภาพคล่องสูงได้อย่างชัดเจน เนื่องจากเงินดิจิตอลเหล่านี้ไม่ได้มีผู้ดูแลเสถียรภาพของมูลค่าและไม่ได้มีสินทรัพย์ใดๆ มารองรับ (Backup) ส่งผลให้มูลค่าของเงินดิจิตอล แต่ละสกุลจะขึ้นอยู่กับ Demand และ Supply ของมัน ดังจะเห็นได้จากการเคลื่อนไหวของมูลค่า Bitcoin และ Etherium ที่ในปี 2017 มีการแกว่งตัวเป็นอย่างมาก โดยมีความผันผวนสูงถึงประมาณ 20% ซึ่งเมื่อนำไปเทียบกับเงินแบบธนบัตร (Fiat Currency) ซึ่งทั่วไปมักมีความผันผวนอยู่ในช่วง 3% ก็จะสะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของมูลค่า เงินดิจิตอล

คำสำคัญ (Tags): #เงินในอนาคต#Bitcoin
หมายเลขบันทึก: 645773เขียนเมื่อ 18 มีนาคม 2018 14:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มีนาคม 2018 14:15 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท