คนโง่ 2 ประเภท


อาการของคนโง่ ผมวินิจฉัยตามบรมครู สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งผมถือว่าเป็นสุดยอดแห่งองค์ความรู้ทั้งปวง. 

 คนโง่ ท่านตรัสว่ามี 2 ประเภท เรียกว่า เนยะ และ ปทปรมะ
.

1. เนยะ คือบัวใต้น้ำ เป็นคนโง่ประเภทที่ คิดช้า คิดไม่ค่อยออก เข้าใจอะไรยาก เข้าใจผิดบ่อย ความจำไม่ดี นึกอะไรก็ไม่ค่อยออก จำก็ผิดๆ เจ็บก็ไม่รู้จักจำ ทั้งนี้รวมทั้งความรู้สึกช้าด้วย ประมาณว่าโดนด่าไปวันนี้ มะรืนนี้พึ่งจะนึกได้ ทำนองนี้แหละ.

ความโง่แบบนี้ เป็นความผิดปกติทางจิตครับ อาจเกี่ยวกับเซลล์สมองไม่สมบูรณ์ด้วย แต่ไม่ใช่โรคจิตนะ คนละอย่างกัน.

 จิต หมายถึงระบบของ การรับรู้ การรู้สึก การนึก และการคิด ระบบเหล่านี้ไม่ค่อยสมบูรณ์ ก็เลยมีผลให้โง่แบบนี้ ซึ่งอาจเป็นมาตั้งแต่กำเนิด หรือเกิดจากกระทบกระเทือนทางจิตใจในภายหลังก็ได้ ซึ่งผมมองว่าเป็นอาการผิดปกติ (Disorder)

.

คนโง่มีผลต่อชีวิต เช่น การเรียนก็ช้า ตัดสินใจผิดพลาดบ่อย มักมีความเข้าใจผิดๆ ตีความผิด ทำงานเสียหายโดยไม่ตั้งใจ จะบอกกล่าว จะไหว้วานอะไรก็ไว้ใจไม่ได้  ไม่ใช่เพราะขี้โกง แต่เพราะมักทำอะไรโง่ๆ  รักษาความลับก็ไม่ได้.

ผลกระทบก็คือ โดนหลอกง่าย ทำงานไม่เก่ง ยากจน  โดนดูถูก คนก็ไม่ค่อยอยากคบ สรุปคือ พวกเนยยะ ชีวิตจะระกำลำบาก !!

อย่างไรก็ดี คนโง่ประเภทนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า สอนได้ พัฒนาได้ ถ้าฝึกตัวเองจะไม่โง่ไปตลอดชีวิต  เมื่อปัญญาน้อยก็ฝึกสติ ฝึกสมาธิ แทน แล้วปัญญาจะค่อยๆ บังเกิดขึ้นได้ สติและสมาธิเป็นรากฐานแห่งปัญญา ฝึกบ่อยเข้าก็หายจากอาการโง่ บัวใต้น้ำก็พ้นจากน้ำรอดจากโดนเต่าปลากินขึ้นมาได้  เป็นความอัศจรรย์ของคำสอนของท่าน

 มีเรื่องว่าสมัยพุทธกาล พระจูฬปันถก (จู ละ ปัน ถก) เป็นผู้ที่มีปัญญาทึบ จำอะไรไม่ได้เลย มนต์แค่ 4 บท ท่อง 4 เดือน ยังไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านทรงให้ฝึกสติ โดยการลูบผ้าขาวไปเรื่อยๆ (สมัยนี้เรียกว่า Kinesthetic การเรียนรู้จากการเคลื่อนไหวและสัมผัส) ลูบไปแบบไม่คิดอะไร จนจิตท่านเกิดสมาธิ จึงบรรลุธรรมกลายเป็นผู้ที่มีสติปัญญาแตกฉาน โอ้โห กลับตาลปัตร และแถมมีฤทธิ์มากจนได้รับการยกย่องด้วย ตามพุทธประวัติกล่าวว่า สามารถเนรมิตร่างกายตัวเองได้เป็นพัน เหมือนสร้างภาพเสมือน 4D !! .... (อันนี้แล้วแต่ความเชื่อนะ)

แต่ที่แน่ๆ นี่คือความอัศจรรย์ของบรมครู ที่ Transform คนแบบพลิกกลับตาลปัตรแบบไม่มีใครเทียม

.

.
คนโง่ประเภทที่ 2  อันนี้น่ากลัว พวก ปทปรมะ บัวใต้โคลน 

พระพุทธเจ้าตรัสว่า พวกนี้สอนไม่ได้ บัวใต้โคลนนี้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดครับ 

สมัยนี้เรียกง่ายๆ ว่าเป็น พวกที่อีโก้สูง !... คนอีโก้สูง เอาจริงแล้วไม่เกี่ยวกับโง่ฉลาด คนโง่ก็สามารถอีโก้สูงได้พอๆ กับคนฉลาด

คนโง่อีโก้สูงจึงเรียกได้ว่า พวกโง่อวดฉลาด และคนฉลาดอีโก้สูง คือ พวกฉลาดแกมโกง !

.

ผมว่า คนโง่ประเภทที่ 2 นี้ คงไม่ต้องอธิบายมาก เพราะเราก็จะพบเห็นได้ มีทุกสังคม คนเห็นแก่ตัว พวกอวดเก่ง คนชอบข่มคนอื่น พวกแทงข้างหลัง หน้าไหว้หลังหลอก กะล่อนปลิ้นปล้อน ขี้โม้ ชอบอวดรวย พวกมีลับลมคมใน (Hidden agenda ) พวกเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล  รวมไปถึงพวกอาชญากรใส่สูท และอาชญากรโรคจิตด้วย !

พวกนี้เลือดเย็น ไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น และพวกนี้จะรับคำติไม่ได้ครับ เพราะคิดว่าตัวเองถูกเสมอ ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า สอนไม่ได้ เป็นโมฆะบุรุษ คือเกิดมาเสียชาติเกิด เป็นคนทั้งทีแต่หาดีไม่ได้  เป็นคนที่ไม่มีใครอยากคบ เดินมาทางซ้ายคนก็เลี่ยงไปทางขวา มันขึ้นเหนือคนล่องใต้หนีทันที !

และยังมีพวกฉลาดที่ดูน่าคบ น่าศรัทธา แม้แต่พวกเจ้าลัทธิ ถ้าเป็นมากๆ พวกนี้เป็นจัดว่าเป็นพวกคนอันตราย ก่อความปั่นป่วนเสียหายได้มาก ฆ่าคนได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม  ความเลวขนาดทำลายองค์กรหรือทำลายประเทศได้เลย ดูอย่างฮิตเล่อร์เป็นตัวอย่างครับ

.

ปทปรมะ ที่น่ากลัวมาก คือพวกที่ฉลาด มีเสน่ห์ดึงดูด มีจิตวิทยาสูง และเสรือกมีความไฝ่สูงอีก ... ผมยกตัวอย่างฮิตเล่อร์นี่ชัดเจนที่สุด มีความสามรถโน้มน้าวคนได้เป็นล้าน โน้มน้าวคนเยอรมันที่ถือว่าเป็นชนชาติที่ฉลาดด้วย ยังฉิบหายได้เลย  มีคนตายกันหลายล้านนี่น่ากลัวแค่ไหน คิดดูครับ...!

.

ตรงนี้ผมให้ลองสำรวจตัวเองดู ถ้าเรามักจะคิดอยู่เสมอว่า กูถูกๆ คนอื่นผิดหมด หรือมักคิดว่า รู้แล้วๆ อะไรก็รู้ไปหมด กูเก่ง กูเลิศ กูฉลาด อันนี้ระวังตัว อย่าปล่อยจนกลายเป็น ปทปรมะ ถ้าข้ามเส้นไปแล้ว ผมบอกได้เลย ฉิบหายครับ ฉิบหายทั้งตัวเองและคนรอบข้าง ตายไปก็ตกนรกลูกเดียว อย่าว่าแต่ตายเลยครับ ยังมีชีวิตก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น ชีวิตพวกนี้ไม่มีความสุขหรอกครับ ภายในจิตใจเร่าร้อนด้วยไฟแห่งโลภะ อยากมี อยากเด่น อยากได้ อยู่ตลอดเวลา

ข้อสังเกตคือ คนที่ตราบใดที่เรายังรู้สึกตัว และพยายามจะแก้ไขตัวเอง จะไม่เป็นปทปรมะ ครับ  พวกนี้ไม่คิดจะแก้ไขตัวเองเลย จะโทษคนอื่นตลอดเวลา !... ความฉลาดแรกจะเกิดทันที เมื่อเรายอมรับตัวเองว่าโง่

.

ทีนี้ มาถึงคนทั่วๆ ไป เช่นเราๆ ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า เราไม่ได้ฉลาดตลอดวัน หรือว่าโง่ตลอดคืน ... มันจะสลับๆ กันไป ตามกฏของความไม่แน่นอน (อนิจจัง)ครับ  ทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง   ... อยู่ที่ว่า ตอนนั้นจิตใจเราเป็นอย่างไร ถ้าจิตมีสติ มีสมาธิ เราจะฉลาดครับ คิดอะไรได้ดี ตัดสินใจเฉียบคม ในทางตรงกันข้าม ถ้าจิตตก นิวรณ์แทรก เราก็จะโง่ทันที บางทีโง่โดยไม่รู้ตัวด้วย แบบทำอะไรไปโง่ๆ ไป แล้วมาเสียดายในภายหลัง ... แม้ว่าสรรพสิ่งจะไม่แน่นอน แต่เราก็ต้องพยายามโง่ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้...

.

ทีนี้ ต้องมาพูดถึงสาเหตุของความโง่ คือเจ้า นิวรณ์ สิ่งที่ทำให้จิตหมอง และความโง่เข้าครอบงำ นิวรณ์มี 5 อย่าง คือ ความลุ่มหลงทางรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส 1 / ความโกรธ โมโห พยาบาท 1 / ความขี้เกียจ ง่วงเหงา ซึมเศร้า1 / ความฟุ้งซ่าน คิดมาก วิตก 1 / ความลังเล งง  สงสัย ระแวง 1 / รวมเป็นนิวรณ์ 5   อาการเหล่านี้ เมื่อเกิดขึ้นกับจิต จะเกิดเองหรือว่ามีสิ่งกระตุ้นก็ตาม  เมื่อเราก็ถูกมันครอบงำ แล้วก็จะโง่ครับ

ตัวอย่างเช่น ถ้าเราโกรธ เกลียดใคร แน่นอน เราก็ต้องมีอคติกับคนนั้น เวลาเรามองเขา หรือคิดอะไรกับเขาก็จะเป็นไปในทางลบไปหมด การตัดสินใจเกี่ยวกับคนนั้นก็จะผิดจากความจริง นี่ก็คือความโง่  และเชื่อเถอะครับ เวลาโมโหจัดๆ นี่ ตัดสินใจโง่ๆ จนชีวิตพัง เห็นกันมาเยอะแล้ว...

หรือนิวรณ์ประเภทกามฉันทะ ตัวอย่างเช่น  เรารักใครชอบใคร อะไรๆ ก็ว่าดีไปหมด คนหมดตัวเพราะลุ่มหลงก็เยอะ หรือขนาดเขาทำอะไรผิดๆ เราก็ไม่เห็นว่าผิด บางทีถลำตัวไปช่วยคนผิด เราก็อาจติดร่างแหไปด้วย เห็นไม๊ครับ นี่ก็คือความโง่   ที่ร้ายแรงก็เช่น มีลัทธิที่อเมริกาคนศรัทธากันมาก แล้วพาสาวกไปตายเป็นร้อย  คือ กินยาพิษฆ่าตัวตาย หลอกให้คนหลงเชื่อว่าจะได้ไปพบพระเจ้า ข่าวดังเลย นี่แหละครับ หลงไปคบกับพวกปทปรมะ !

.

อีกทั้งนิวรณ์พวกความซึมเศร้า เช่น เวลาอกหัก จิตตกจนคิดอะไรไม่ออก และตัดสินใจโง่ๆ กรีดตัวเอง ฆ่าตัวตาย ทั้งๆ ที่เวลาปกติไม่กล้าทำ  ... หรือเวลาฟุ้งซ่าน หรือ เวลาที่ลังเล งง สงสัย ระแวง ก็เหมือนกันครับ ก็ทำให้เราโง่ไปชั่วขณะได้หมด คำว่าชั่วขณะนี้อาจจะเป็นขณะที่ยาวด้วย และมีผลกระทบร้ายแรงด้วย

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความโง่เป็นบาปที่สุด  : เป็นบาปมากที่สุดเลยครับ ก็เป็นจริงดั่งท่านตรัส มันเสียหายหลายแสนจริงๆ

 สิ่งที่จะจัดการกับนิวรณ์ได้ก็คือ สติ สมาธิ ปัญญา ครับ เมื่อขณะใดจิตมี 3 สิ่งนี้ นิวรณ์เกิดไม่ได้ หรือเกิดแล้วก็รู้ทัน จะกำจัดนิวรณ์ได้  คนที่ฝึกเวลาจะโง่ เขาก็มีสติ แหน่ะๆๆ โง่อีกแล้ว  กลับมามีสมาธิไม่วอกแวก นิวรณ์ก็เดี้ยง อคติก็หมด ความคิดก็แจ่มใส แล้วความฉลาดก็จะเพิ่มพูนมากกว่าความโง่ ... มีสติปัญญาตลอดเวลาไม่ได้ ก็ขอให้โง่ชั่วคราว แต่ฉลาดค้างคืน ก็แล้วกัน !

"

เห็นไม๊ครับ พูดยังไงก็ไม่พ้นธรรมะ  เป็นสิ่งสูงสุดที่มนุษย์จะได้พบในชีวิตนี้แล้วครับ  ...แต่เวลาชวนคนมาฝึกสติ ฝึกสมาธิ คนก็บอกไม่เอาๆ โบราณ ล้าสมัย เอาเวลาไปหาเงิน ไปเสพสุขดีกว่า  เพราะเขาไม่รู้ถึงพิษภัยภายในจิตใจของเขาเองว่ามันรุนแรงขนาดไหน คนเราจึงมุ่งกันผิดทางไปหมด แทนที่จะมุ่งฝึกฝนตัวเอง ระวังความโง่  แต่กลับมุ่งหาเงิน มุ่งเสพสุขแบบไม่สนใจเรื่องอื่น  นิวงนิวรณ์จะครอบงำอะไร กูไม่สน..!

เวลาที่มันวิกฤติ เงินก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ครับ ... หาเงินมาแทบตาย บางคนสุดท้ายไม่ได้ใช้ คนรวยตายเพราะโง่แค่ไม่กี่วินาที ประมาณว่าทะเลาะกันเพราะรถเฉี่ยวแล้วยิงกันตายก็ถมไป !!

.

แทนที่จะมุ่งรวย เรามุ่งฝึกสติ สมาธิ ปัญญา ดีกว่าครับ เชื่อผมเถอะ และมันไม่ได้ยากเย็น หรือลึกลับ อย่างที่เข้าใจกันหรอกครับ !

จบเรื่องคนโง่ 2 ประเภทไว้เพียงเท่านี้ ผมหวังว่าความรู้นี้จะกระตุ้นสติปัญญาให้มากขึ้นๆ นะครับ  มากจนเปลี่ยนแปลงชีวิตให้เจริญรุ่งเรืองได้อย่างรวดเร็ว สาธุๆ  ... 

.....
อ่านธรรมะ 4.0 คลิ๊กเลือกที่  https://www.gotoknow.org/blog/...
.....

หมายเลขบันทึก: 644174เขียนเมื่อ 25 มกราคม 2018 10:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 มกราคม 2018 15:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

-สวัสดีครับอาจารย์

-ตามมาอ่าน

-ได้ข้อคิดมากมาย

-ไม่มีใครที่ไม่รู้อะไรเลย และก็ไม่มีใครเลยที่รู้อะไรไปหมดทุกอย่าง

-ตัวเราก็เช่นกันนะครับ

-สาธุ...

ครับ ระวังนิวรณ์ครับ ตัวขัดขวางความเจริญทางจิตวิญญาณ

สาธุครับ ท่านอาจารย์

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท