I am THAT 44


44. “ฉันเป็น” นั้นจริง ที่เหลือทั้งหมดคือการอนุมาน

มหาราช  ผู้รับรู้โลก เขามีอยู่ก่อนโลก หรือเขาเกิดขึ้นพร้อมกับโลก?

 

ถาม  เป็นคำถามที่ประหลาดอะไรเช่นนั้น ทำไมท่านจึ้งถามแบบนี้?

ตอบ  ถ้าเธอไม่รู้คำตอบที่ถูกต้อง เธอจะไม่มีวันพบความสงบสันติ

 

ถาม  เมื่อผมตื่นขึ้นในตอนเช้า โลกก็มีอยู่แล้ว รอคอยผมอยู่

แน่นอนอยู่แล้วว่าโลกต้องเกิดขึ้นมาก่อน เป็นอันดับแรก

แล้วผมจึงเกิดมีขึ้นมาภายหลัง หลังการเกิดของโลกมาก นับตั้งแต่วันที่ผมคลอดออกมาจากท้องแม่

ร่างกาย เป็นสื่อกลางระหว่างผมกับโลก

ถ้าไม่มีร่างกาย ก็จะไม่มีผม และไม่มีโลก

ตอบ  ร่างกายปรากฏในใจของเธอ ใจคือสิ่งเกิดขึ้นภายในความรู้ตัว เธอคือผู้เฝ้ารู้เฝ้าดูที่ไร้การเคลื่อนที่ เฝ้ามองแม่น้ำของความรู้ตัวซึ่งเปลี่ยนแปลงอย่างไม่สิ้นสุด แต่มันจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเธอได้ ไม่ว่าด้วยวิถีทางใดๆ

ความไร้การเปลี่ยนแปลงของเธอมันชัดเจนมาก จนเธอไม่สังเกตเห็นมัน

จงมองดูตัวเองให้ดี แล้วความเข้าใจผิดและมโนทัศน์ผิดๆทั้งหมดจะละลายไป

สิ่งมีชีวิตเล็กๆที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบอยู่ภายใน ต้องอาศัยอยู่ในน้ำ ไม่สามารถมีชีวิตโดยปราศจากน้ำ ฉันใด จักรวาลทั้งหมดก็อยู่ภายในตัวเธอ และไม่สามารถมีอยู่ได้ถ้าปราศจากเธอ ฉันนั้น

 

ถาม  เราเรียกมันว่า พระเจ้า

ตอบ  พระเจ้าเป็นแค่แนวคิดในใจของเธอ

ข้อเท็จจริงคือเธอ

สิ่งเดียวที่เธอรู้แน่นอนคือ “ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ฉันเป็น”

เอา “ที่นี่และเดี๋ยวนี้” ออกไป เหลือแต่ “ฉันเป็น” อย่างไม่มีอะไรมาลบล้างได้

ถ้อยคำมีอยู่ในความทรงจำ

ความทรงจำเข้าไปที่ความรู้ตัว

ความรู้ตัวมีอยู่ในความตระหนัก

และความตระหนักคือภาพสะท้อนของแสงสว่างบนผืนน้ำของการดำรงอยู่

 

ถาม  แต่ผมก็ยังมองไม่เห็นว่าโลกจะอยู่ในตัวผมได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งตรงข้าม คือ “ผมอยู่ในโลก” มันแสนจะเด่นชัดออกอย่างนี้

ตอบ  เมื่อฉันได้รับการยืนยันว่าตัวตนของฉันคืออะไร พลังเกิดขึ้นภายในฉัน ทำลายความโง่เขลา เผามันโดยสิ้นเชิง

 

ถาม  ผู้เฝ้ารู้เฝ้าดูความโง่เขลา แยกออกจากความโง่เขลาหรือเปล่า?

การพูดว่า “ฉันโง่เขลา” เป็นส่วนหนึ่งของความโง่เขลาด้วยไม่ใช่หรือ?

ตอบ  แน่นอน

ทั้งหมดที่ฉันพูดได้จริงๆคือ “ฉันเป็น” อื่นๆนอกจากนี้เป็นแค่การอนุมาน

แต่การอนุมานได้กลายเป็นนิสัย

จงทำลายนิสัยทั้งหมดในการคิดและในการเห็น

ความรู้สึก “ฉันเป็น” คือการสำแดงของเหตุที่อยู่ลึกลงไป ซึ่งเธออาจเรียกว่า ตัวตนที่แท้ พระเจ้า ความจริงแท้ หรืออื่นๆ

ฉันเป็น” อยู่ในโลก แต่มันเป็นกุญแจซึ่งสามารถเปิดประตูออกจากโลก

เราเห็นพระจันทร์เต้นรำบนผิวน้ำเมื่อมองในน้ำ แต่มันเกิดจากพระจันทร์ในท้องฟ้า ไม่ใช่ในน้ำ

 

ถาม  แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจประเด็นหลักของเรื่องนี้ ผมยอมรับได้ว่าโลกที่ผมอาศัยอยู่และเคลื่อนที่อยู่และมีตัวตนของผมอยู่ ล้วนเป็นสิ่งที่ผมสร้างขึ้นเอง เป็นภาพฉายของตัวตนของผม ของจินตนาการของผม ฉายไปบนโลกที่ผมไม่รู้จัก โลกที่มีอยู่เป็นอยู่ของมันอย่างที่มันเป็น โลกแห่ง “สสารสัมบูรณ์” ไม่ว่าสสารนั้นคืออะไร

โลกที่ผมสร้างขึ้นเองนี้ อาจไม่เหมือนโลกที่แท้ โลกสูงสุด เช่นเดียวกับที่จอภาพยนตร์ไม่เหมือนภาพที่ถูกฉายไปบนจอ

อย่างไรก็ดี โลกสัมบูรณ์นี่มีอยู่ โดยไม่ขึ้นกับตัวผม

ตอบ  เป็นเช่นนั้น โลกแห่งความจริงแท้สัมบูรณ์ เป็นจอที่ใจของเธอฉายภาพโลกแห่งความไม่จริงสัมพัทธ์ และไม่ขึ้นกับเธอ ด้วยเหตุผลง่ายๆว่า มัน “คือ” ตัวตนแท้จริงของเธอ

 

ถาม  คำที่ใช้นี้มันไม่ขัดแย้งกันหรือครับ?

ความไม่ขึ้นต่อกันจะเป็นสิ่งพิสูจน์ตัวตนแท้จริงได้อย่างไร?

ตอบ  จงสังเกตการเคลื่อนไหวของความเปลี่ยนแปลง แล้วเธอจะเข้าใจ

อะไรที่สามารถเปลี่ยนแปลง ในขณะที่เธอไม่เปลี่ยนแปลง ก็เรียกได้ว่ามันไม่ขึ้นกับเธอ

แต่สิ่งที่ไร้การเปลี่ยนแปลง ย่อมเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งอื่นๆที่ไร้การเปลี่ยนแปลง

คำว่า ธรรมคู่ บอกเป็นนัยว่ามีปฏิสัมพันธ์เกิดขึ้น และการปฏิสัมพันธ์นั้นพบกับการเปลี่ยนแปลง

หรืออาจพูดได้ว่า สสารสัมบูรณ์และจิตวิญญาณสัมบูรณ์ สิ่งที่เป็นวัตถุวิสัยอย่างสิ้นเชิงและสิ่งที่เป็นจิตวิสัยอย่างสิ้นเชิง ล้วนเหมือนกัน ทั้งในด้านเนื้อหาและแก่นแท้

 

ถาม  เหมือนในภาพสามมิติ แสงสว่างสร้างจอของมันเอง

ตอบ  เธอจะเปรียบเทียบอย่างไรก็ได้

จุดหลักที่ต้องเข้าใจคือ เธอได้ฉายภาพโลกแห่งจินตนาการของเธอลงบนตัวเธอเอง โดยอาศัยความทรงจำ ความต้องการ และความกลัว แล้วเธอก็กักขังตัวเองไว้ในนั้น

จงทำลายมนต์สะกดอันนี้เสีย แล้วเป็นอิสระ

 

ถาม  เราจะทำลายมนต์สะกดนั้นได้อย่างไร?

ตอบ  ยืนยันอิสรภาพของเธอในความคิดและการกระทำ

เพราะว่า ทุกสิ่งล้วนแขวนอยู่กับความเชื่อที่เธอมีต่ออัตตาตัวตนของเธอ ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นว่าทุกสิ่งที่เธอเห็นและได้ยิน คิดและรู้สึก เป็นจริง

ทำไมเธอจึงไม่ตั้งคำถามต่อความเชื่อนี้เล่า?

แน่ละ เธอไม่ทำ เพราะเธอเป็นผู้วาดโลกนี้บนจอของความรู้ตัว และมันเป็นโลกส่วนตัวของเธออย่างแท้จริง

มีเพียงความรู้สึก “ฉันเป็น” ซึ่งแม้จะอยู่ในโลก แต่ก็ไม่ข้องอยู่กับโลก

โดยไม่ต้องใช้ความพยายามด้านตรรกะหรือจินตนาการใดๆ เธอสามารถเปลี่ยน “ฉันเป็น” ไปเป็น “ฉันไม่เป็น”

ด้วยการปฏิเสธว่าอะไรที่เธอไม่เป็น เธอกำลังยืนยันสิ่งที่เธอเป็น

เมื่อเธอตระหนักว่า โลกคือภาพฉายที่เธอสร้างเอง เธอก็จะเป็นอิสระจากโลก

เธอไม่จำเป็นต้องทำตัวเองให้เป็นอิสระจากโลกที่ไม่มีอยู่จริง นอกจากเธอจะสร้างภาพไปเอง

ไม่ว่าภาพจะเป็นอย่างไร สวยหรือน่าเกลียด เธอเป็นผู้วาดมัน และเธอไม่ถูกยึดไว้ด้วยมัน

จงตระหนักว่า ไม่มีใครบังคับยัดเยียดสิ่งนี้ให้เธอ มันขึ้นอยู่กับนิสัยในการยึดว่าจินตนาการเป็นของจริง

จงเห็นว่าจินตนาการคือจินตนาการ และเป็นอิสระจากความกลัว

เช่นเดียวกับสีสันในพรมเกิดขึ้นจากแสง แต่แสงไม่ใช่สี โลกก็เกิดขึ้นจากเธอ แต่เธอไม่ใช่โลก

สิ่งซึ่งสร้างและค้ำจุนโลก เธออาจเรียกมันว่า พระเจ้า หรือ พระกรุณาของพระเจ้า แต่ท้ายที่สุดแล้ว เธอคือข้อพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีอยู่ แต่ไม่ใช่ในทางกลับกัน

เพราะว่า ก่อนที่จะมีการถามคำถามใดเกี่ยวกับพระเจ้า ต้องมีเธอขึ้นมาก่อนเพื่อถามคำถามนั้น

 

พราะเจ้าคือประสบการณ์ในกาลเวลา แต่ผู้รับรู้ประสบการณ์นั้นไร้กาลเวลา

ตอบ  แม้ผู้รับรู้ประสบการณ์ก็ยังมาทีหลัง สิ่งแรกคือพื้นที่กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดของความรู้ตัว ความเป็นไปได้อันเป็นนิรันดร์ ศักยภาพอันไม่สามารถวัดได้ของทุกสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ และจะมีจะเป็น

เมื่อเธอมองดูสิ่งใดก็ตาม ที่เธอเห็นคือสิ่งสูงสุด แต่เธอไปจินตนาการว่าเธอเห็นเมฆ หรือเห็นต้นไม้

จงเรียนรู้ที่จะมองโดยไม่มีจินตนาการ รับฟังโดยไม่บิดเบือน แค่นั้นเอง

จงหยุดตั้งชื่อและรูปร่างให้กับสิ่งที่ไร้ชื่อและไร้รูปร่าง

จงตระหนักว่า ทุกรูปแบบของการรับรู้ คือ สิ่งเกี่ยวข้องกับผู้กระทำ

สิ่งซึ่งถูกเห็น หรือถูกได้ยิน ถูกสัมผัส ถูกรับกลิ่น ถูกรู้สึก หรือถูกคิด ถูกคาดหวัง หรือถูกจินตนาการ ล้วนอยู่ภายในใจ ไม่ได้มีอยู่จริง

แล้วเธอจะประสบกับความสงบและได้รับอิสรภาพจากความกลัว

แม้ความรู้สึก “ฉันเป็น” ก็ถูกประกอบด้วยแสงที่บริสุทธิ์ และความรู้สึกของการมีอยู่เป็นอยู่

“ฉัน” อยู่ที่นั่น แม้ไม่มีคำว่า “เป็น”

เหมือนกันกับแสงบริสุทธิ์ที่อยู่ที่นั่น ไม่ว่าเธอจะพูดว่า “ฉัน” หรือไม่

จงตระหนักถึงแสงบริสุทธิ์ และเธอจะไม่มีวันสูญเสียมันไป

ความมีอยู่เป็นอยู่ในสิ่งมีอยู่เป็นอยู่ ความตระหนักในความรู้ตัว ความสนใจในทุกประสบการณ์ – นั้นไม่สามารถบรรยายได้ แต่ก็สามารถเข้าถึงได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะมันไม่มีอะไรอื่นอีก

 

ถาม  ท่านพูดถึงความจริงแท้โดยตรง – ในลักษณะของสิ่งซึ่งซึมแทรกอยู่ในทุกอย่าง มีอยู่เสมอมา เป็นนิรันดร์ รู้ทุกสิ่ง ให้พลังงานแก่ทุกสิ่ง เป็นเหตุเดิมแท้

มีครูท่านอื่น ที่ปฏิเสธการพูดถึงความจริงแท้

พวกเขากล่าวว่า ความจริงแท้อยู่เหนือใจ และการอธิบายทั้งหลายอยู่ในแวดวงการทำงานของใจ ซึ่งเป็นบ้านของสิ่งไม่จริง

แนวทางของพวกเขาเป็นแบบปฏิเสธ พวกเขาระบุถึงสิ่งไม่จริง แล้วไปเหนือสิ่งเหล่านั้น เข้าไปยังสิ่งจริงแท้

ตอบ  ความแตกต่างอยู่ในถ้อยคำเท่านั้น

เมื่อฉันพูดถึงความจริงแท้ ฉันอธิบายมันในลักษณะของสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งไม่จริง ไร้สถานที่ ไร้กาลเวลา ไร้สาเหตุ ไร้การตั้งต้น และไร้จุดสิ้นสุด

มันสรุปเข้าที่สิ่งเดียวกัน

ตราบใดที่มันนำไปสู่ความเห็นแจ้ง ถ้อยจะสำคัญอะไร?

มันจะสำคัญอะไรถ้าเธอดันเกวียนหรือลากเกวียน ตราบใดที่มันเคลื่อนที่

เธออาจรู้สึกว่าถูกดึงดูดเข้าหาความจริงแท้ในช่วงเวลาหนึ่ง และถูกผลักดันออกจากความไม่จริงในช่วงเวลาหนึ่ง

เหล่านี้เป็นแค่อารมณ์ซึ่งสลับสับเปลี่ยนกัน ทั้งคู่ต่างเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับอิสรภาพที่สมบูรณ์แบบ

เธออาจไปตามเส้นทางอันใดอันหนึ่ง – แต่ละครั้งมันจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้องเหมาะสมสำหรับแต่ละช่วงเวลา

แค่เดินไปด้วยใจเต็มร้อย อย่าเสียเวลาไปกับความลังเลสงสัย

เด็กจะเติบโตได้ต้องอาศัยอาหารหลายชนิด แต่ท่าทางร่างกายในการกินอาหารล้วนเหมือนกัน

โดยทางทฤษฎี – ทุกวิธีล้วนดีทั้งหมด

ในทางปฏิบัติ และในขณะหนึ่ง เธอก้าวไปด้วยเส้นทางเดียวเท่านั้น

ไม่นานนัก เธอจะค้นพบว่าถ้าเธอต้องการพบจริงๆ เธอต้องขุดในจุดเดียวเท่านั้น – นั่นคือภายใน

ร่างกายและใจของเธอไม่สามารถให้สิ่งที่เธอค้นหา – การมีอยู่เป็นอยู่และการรู้ตัวตนที่แท้ และความสงบอันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมกัน

 

ถาม  แน่นอนว่าต้องมีอะไรที่ถูกต้องและมีค่าในทุกวิธี

ตอบ  ในแต่ละวิธี คุณค่าของมันอยู่ที่การนำพาเธอไปยังความจำเป็นที่ต้องค้นหาเข้าไปภายใน

การเปลี่ยนวิธีการไปเรื่อยๆ อาจเกิดจากแรงต้านที่จะเข้าไปภายใน เพราะความกลัวที่ต้องละทิ้งมายาภาพของการเป็นบางสิ่งหรือบางคน

การจะพบน้ำ เธอไม่ขุดหลุมเล็กๆไปจนทั่วพื้นที่ แต่เธอต้องขุดหลุมเดียวให้ลึก

ทำนองเดียวกัน การจะค้นพบตัวเอง เธอต้องสำรวจตัวเอง

เมื่อเธอตระหนักว่า เธอคือแสงแห่งโลก เธอก็จะตระหนักด้วยว่าเธอคือความรักของโลก การรู้คือการรัก และการรักคือการรู้

ในบรรดาความรักทั้งปวง การรักตัวเองมักมาก่อนเสมอ

ความรักที่เธอมีต่อโลก คือการสะท้อนของความรักที่เธอมีต่อตัวเอง เพราะโลกคือสิ่งที่เธอสร้างขึ้น

แสงสว่างและความรัก ไม่เป็นของใคร แต่มันสะท้อนอยู่ในใจของเธอในลักษณะของการรู้ตัวเองอย่างดีและการหวังดีต่อตนเอง

เรามักเป็นมิตรต่อตนเองเสมอ แต่ไม่ได้ฉลาดเสมอไป

โยคีคือบุคคลที่ความปรารถนาดีคู่ขนานไปกับปัญญา

 

ศรี นิสาร์กะทัตตะ มหาราช

“I AM THAT”

 

 

หมายเลขบันทึก: 643874เขียนเมื่อ 9 มกราคม 2018 12:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม 2018 12:13 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท