ผมขออนุญาตแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่องเล่าของครูบุญถึง(ผมเอง)เรื่องที่ 6 ซึ่งเป็นบันทึกเรื่องราวของเด็กคนหนึ่งที่มีความฝัน ...มีโลกในใจของตนเอง...เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีโอกาสได้เป็นครู เขาจึงสานฝันนั้นให้เป็นจริง โดยปฏิบัติต่อเด็กๆของเขาเหมือนที่เขาอยากให้เกิดกับตนในวัยเด็ก ผมหวังว่าเรื่องเล่า(บันทึก)นี้ จะช่วยสะกิดใจครู ช่วยปลุกจิตวิญญาณความเป็นครูให้เกิดความตระหนักในบทบาทหน้าที่ของตนเอง ในการอบรมสั่งสอน ดูแลช่วยเหลือเด็กๆที่จะเป็นอนาคตของชาติ หยั่งถึงโลกในใจของพวกเขา ช่วยยกระดับจิตวิญญาณของพวกเขาให้เป็นเด็กดีและมีความเจริญก้าวหน้า เป็นเยาวชนที่มีคุณภาพของประเทศชาติสืบไป และหวังว่าบันทึกนี้จะเป็นข้อคิดให้แก่พ่อแม่ ผู้ปกครอง และผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงการศึกษาทุกคนด้วยครับ...
เรื่องที่ 6 จิตวิญญาณของความเป็นครู
ต้นเดือนมิถุนายน เป็นวันไหว้ครูของโรงเรียนที่ผมกับครูแจงสอน หลังพิธีไหว้ครู ก็มีเด็กเป็นกลุ่มๆ ทั้งที่ผมเป็นครูประจำชั้นและที่ผมสอน รวมทั้งศิษย์เก่าบางรุ่น มารอผมอยู่ที่หน้าห้องประชุม บางกลุ่มที่มีพวงมาลัยก็ให้ตัวแทนมามอบให้ บางกลุ่มที่ไม่มีพวงมาลัยก็นั่งพนมมือพร้อมกล่าวคำสวัสดีและขอบคุณผมที่ดูแลอบรมสั่งสอนเขามา
ผมก็ได้ให้ศีลให้พร ให้กำลังใจเขาไปทุกกลุ่ม พร้อมทั้งถามสารทุกข์สุกดิบกัน โดยเฉพาะกลุ่มศิษย์เก่าที่จบออกไปเรียนต่อหรือไปทำงานแล้ว ก็ได้แสดงความยินดีกับพวกเขากันทุกคน
หลังจากนำพวงมาลัยของเด็กๆไปไหว้พระพุทธรูปหน้าโรงเรียนเสร็จ ผมก็เดินไปที่ห้องครูแจง ได้เห็นภาพครูแจงกับลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งนั่งที่พื้นข้างๆโต๊ะทำงานของครูแจง จึงหยุดไปนั่งดูอยู่มุมหนึ่งของห้อง เห็นนักเรียนแต่ละคนถือพวงมาลัยรอครูด้วยท่าทางที่บอกไม่ถูก ซึ่งจำได้ว่าหลายคนเป็นเซียนยอดเกเรประจำห้อง ที่ถูกครูแจงเคี่ยวเข็ญ
"จะพูดอะไรก็ว่ามาสิ มัวแต่ยิ้มม้วนไปม้วนมาอยู่นั่นแหละ" ครูแจงทักทายด้วยรอยยิ้ม ทำให้นักเรียนหญิงคนหนึ่งพูดขึ้นก่อน
"พวกหนูมาไหว้คุณครูค่ะ คุณครูอย่าทิ้งพวกหนูไปไหนนะ" แล้วพวกเขาก็ร้องไห้ ครูแจงก้าวไปหาเขาดึงนักเรียนหญิงมากอดและตบไหล่นักเรียนชายทีละคนเบาๆ แล้วถือโอกาสอบรม และให้กำลังใจแก่ศิษย์ยอดเกเร
พอเสร็จกลุ่มนี้ก็มีนักเรียนอีกหลายกลุ่มมารอที่จะไหว้ครูแจงที่หน้าห้อง แต่ละคนถือพวงมาลัยเข้าคิวเดินเข้ามาที่โต๊ะทำงานครูแจงเป็นกลุ่มๆ ซึ่งล้วนเป็นนักเรียนห้องที่ครูแจงสอนคณิตศาสตร์ ทั้งปีนี้และปีแล้วๆมา รวมทั้งห้องที่เป็นครูประจำชั้นด้วย แต่ละกลุ่มที่เดินเข้ามาต่างมีสีหน้าท่าทางที่แสดงถึงความรักความศรัทธาต่อครูของเขาอย่างจริงใจ
ครูแจงกอดและตบไหล่พวกเขาแต่ละคนด้วยความรัก ทั้งครูและศิษย์ต่างน้ำตาซึมด้วยความเต็มตื้น
"ครูอย่าทิ้งพวกเรานะคะ/ครับ ครูสอนพวกเราทุกปีนะคะ/ครับ..." เป็นประโยคที่ศิษย์แต่ละคนกล่าวเป็นเสียงปนสะอื้น ครูแจงพยายามพูดเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศไม่ให้ดูเศร้าสร้อย
"ครูดุขนาดนี้ยังอยากให้ครูสอนอีกหรือ ไม่เข็ดหรือยังไง"
"ไม่หรอกค่ะ ครูสอนเลขรู้เรื่องมากกว่าใครๆ เรียนกี่ชั่วโมงหนูก็ไม่เบื่อค่ะ" เด็กหญิงคนหนึ่งกล่าวขึ้นก่อนใคร เด็กคนอื่นๆก็กล่าวรับตาม
“ใช่ค่ะ ใช่ครับ”
เสร็จจากทุกกลุ่มแล้ว ก็มีผู้แทนนักเรียนห้องที่ครูแจงเป็นครูประจำชั้นเมื่อปีที่แล้ว มาเชิญให้ไปที่ห้องๆหนึ่ง ที่พวกเขานัดหมายพรรคพวกที่ปีนี้อยู่ชั้น ม.ศ.4 กระจายอยู่ตามห้องต่างๆ มารวมตัวกันเพื่อไหว้ครูของเขา ผมแอบเดินตามไปดูอยู่ห่างๆ พอครูแจงเข้าไปตัวแทนกลุ่มก็ถือพวงมาลัยเข้ามาไหว้ จากนั้นนักเรียนหญิงแต่ละคนก็เข้ามากอดครู นักเรียนชายก็มาไหว้กันใกล้ๆ จนครบทุกคน ต่างรื้อฟื้นถึงความหลังที่แต่ละคนประทับใจเมื่อได้อยู่ห้องที่ครูแจงเป็นครูประจำชั้น และได้เรียนเลขกับครูแจง
หลังจากนั้นก็มีนักเรียนชายกลุ่มหนึ่ง เข้ามาไหว้ครูแจง พร้อมกับพูดว่า
"เราอยากมาไหว้คุณครู แต่เราไม่มีพวงมาลัยมาไหว้ครับ" ครูแจงดึงพวกเขามาตบไหล่เบาๆด้วยความรักและเมตตา
พอเสร็จจากนักเรียนปัจจุบันทุกกลุ่ม ครูแจงก็เดินกลับห้องพักครูพร้อมกับพวงมาลัยเต็มแขน ผมก็เดินตามไปดูอีก ก็เห็นศิษย์เก่าอีกหลายรุ่นพากันมาไหว้ครูแจงกัน พอเห็นผมพวกเขาก็เข้ามาไหว้ผมด้วย มองไปบนโต๊ะของครูแจงตอนนี้มีพวงมาลัยกองเต็มไปหมดจนนับไม่ถ้วน ทำให้ครูคนอื่นๆในห้องพักครูเดียวกันต่างพากันตื่นเต้นไปด้วย มีครูรุ่นน้องครูแจงคนหนึ่ง พูดขึ้นมาว่า
"พี่แจง เราไปตั้งร้านขายพวงมาลัยกันดีไหม"
หลังจากนั้นครูแจงได้เอาพวงมาลัยของลูกศิษย์ไปไหว้พระพุทธรูป เธอบอกผมตอนหลังว่าได้อธิษฐานให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองลูกศิษย์ทุกๆคนให้ประสบผลสำเร็จในการเรียนและชีวิตส่วนตัว
ระหว่างเราทานอาหารกลางวันกันในวันนั้น ดูครูแจงมีความสุขมาก เธอบอกกับผมว่า
“หนูเองก็ไม่รู้มาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นในปีนี้ เพราะทุกๆปีที่ผ่านมาก็จะมีลูกศิษย์เข้ามาเหมือนกันแต่ไม่มากเหมือนปีนี้ มันเป็นความรู้สึกที่เต็มตื้นอย่างบอกไม่ถูก หนูเป็นเพียงแค่ครูน้อย เงินเดือนก็นิดเดียว หนูอยากถือว่าความสุขที่หนูได้รับวันนี้เป็นสุดยอดของความสำเร็จในการเป็นครูของหนูที่ยิ่งใหญ่ และภาคภูมิใจเหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น "
ผมฟังเธอเล่าด้วยอารมณ์ร่วมที่คล้อยตาม เราต่างแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเทคนิคการอบรมสั่งสอนนักเรียนกันต่อ โดยครูแจงเล่าก่อน
“หนูคิดว่าครูที่สามารถเข้าถึงโลกในใจของเด็กได้นั้น น่าจะต้องสอนวิชาอะไรก็ต้องทำให้เขารู้เรื่องเข้าใจ มีความสุขและประสบผลสำเร็จจากการเรียน รวมทั้งเอาใจใส่ดูแลทุกข์สุข ความเป็นอยู่ของพวกเขา ขาดเหลืออะไรก็เข้าไปช่วย ไม่จู้จี้จุกจิก ไม่เคี่ยวเข็ญให้เขาทำในสิ่งที่เราคิดอยู่เพียงฝ่ายเดียว มีปฏิกิริยาที่ดีกับเด็ก พูดกันดีดี ไม่เกรี้ยวกราด แม้จะดุ เด็ดขาด จริงจัง แต่ก็จริงใจ อย่าให้มีช่องว่างระหว่างวัยมาก นอกจากนี้จะต้องเข้าใจเรื่องการใช้ภาษาของพวกเขา ทันเขา มีมุขตลกสอดแทรกระหว่างสอนและสัมผัสให้ความรู้สึกที่อบอุ่นแก่เขาในโอกาสอันเหมาะสม” ผมเล่าแลกเปลี่ยนกับครูแจงต่อ
“พี่ว่าชั่วโมงแรกของการสอนเป็นชั่วโมงที่สำคัญที่สุด จะต้องเปิดใจกับนักเรียน มีข้อตกลงร่วมกันในการสอนและการปฏิบัติต่อกันตลอดภาคเรียนหรือตลอดปี แล้วเราช่วยกันดูแลให้เป็นไปตามข้อตกลง พร้อมทั้งยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ การอบรมสั่งสอนต้องทำทั้งด้านความรู้และคุณธรรมน้ำใจไปพร้อมๆกัน การเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่ดีพี่ว่าไม่มีวิธีใดดีไปกว่าการทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้เขาเห็น ใช้วิธีซึมซับมากกว่าการโปรยหว่าน ทำให้เขาดูกู่ให้เขาตาม ในชีวิตประจำวันนี่แหละ เป็นครูที่พูดไม่ได้ เหมือนโบราณเขาว่า ดูวัวให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ แต่ทุกวันนี้ทั้งสถาบันครอบครัวและสังคมอ่อนแอ เป็นตัวแบบไม่ค่อยได้ จึงมาตกหนักที่ครูเรา ถ้าเราไม่ทำ อนาคตเด็กๆจะเป็นยังไง พี่ว่าความสำเร็จทั้งหลายอยู่ที่พื้นฐานของความศรัทธา ถ้าเด็กเขายอมรับ ศรัทธาเรา ยามรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน จะอบรมกล่อมเกลาเขายังไงเขาก็เชื่อฟังเราทั้งนั้น”
ผมมีโอกาสได้ไปร่วมงานแสดงมุฑิตาจิตของคุณครูท่านหนึ่งที่ตอนหลังท่านขึ้นมาเป็นผู้บริหารและสุดท้ายได้เป็นอธิบดี ท่านเกษียณอายุราชการมาหลายปีแล้ว
งานวันนั้นผมจำได้ว่ามีลูกศิษย์ของคุณครู ตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงรุ่นสุดท้ายที่ท่านสอน มากันเต็มหอประชุม
บรรยากาศของงานวันนั้น คณะศิษย์จัดให้เป็นบรรยากาศที่เป็นวัฒนธรรมไทยอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งดนตรีไทย และการแสดงต่างๆ
มีลูกศิษย์แต่ละรุ่นผลัดกันมาเล่าเหตุการณ์ในสมัยนั้นซึ่งแสดงถึงความเป็นครูที่ยังอยู่ในหัวใจของพวกเขา เป็นแบบอย่างวิถีชีวิตให้แก่เขามาจนทุกวันนี้
ลูกศิษย์คนหนึ่งบอกว่า " เวลาสอนท่านก็สอนสนุก ไม่มีใครเป็นตัวจับได้เลย เราจะได้ทั้งความสนุกและเนื้อหาสาระ พวกเราทุกคนต่างรออยากให้ถึงชั่วโมงท่านเร็วๆ ท่านเป็นครูที่อยู่ในหัวใจพวกเราจริงๆ"
ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งบอกว่า "เมื่อตอนที่ท่านขึ้นเป็นผู้บริหารโรงเรียน มีอยู่วันหนึ่งท่านชวนพวกเราปีนขึ้นไปที่เนินเขาในบริเวณโรงเรียน แล้วให้บุญส่งที่ตัวโตและแข็งแรงที่สุด หยิบก้อนหินขึ้นมาแล้วขว้างออกไปเต็มแรง ทำอย่างนี้ 3 ครั้ง แล้วท่านให้พวกเราลงไปทำหมุด เราก็ถามว่าท่านจะทำอะไร ท่านบอกว่า จะสร้างบ้านพักอาจารย์ใหญ่ตรงนี้ ถ้ามีใครมาขว้างบ้านอาจารย์ใหญ่ ก็มีบุญส่งคนเดียวที่ขว้างถึง พวกเราก็ฮากันครืน ในอารมณ์ขันและความฉลาดน่ารักของท่าน"
มีเกร็ดดีดีอีกเยอะที่ลูกศิษย์แต่ละคนขึ้นไปเล่า พอถึงเวลาที่คุณครูขึ้นไปกล่าว ท่านเริ่มต้นว่า
"วันนี้ถ้าครูมาในฐานะอธิบดีก็คงไม่มีใครมา เพราะการเป็นอธิบดีของครูมันจบไปแล้วเมื่อตอนอายุ 60 ปี..."
แล้วท่านก็เชิญชวนพวกเราให้ทำความดี รักษาความดี เป็นแบบอย่างความดี เผยแพร่ความดี เพื่อความมั่นคงน่าอยู่ของบ้านเมืองเรา
มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า มีโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่ง อยู่ในจังหวัดใกล้ๆกรุงเทพฯนี่เอง ซึ่งตั้งอยู่ในวัด ณ ที่แห่งนี้จะมีคุณยายคนหนึ่งมานั่งอยู่แถวประตูทางเข้าออกวัดทุกวัน แกชอบเรียกนักเรียนมาอ่านหนังสือให้ฟัง และให้เขียนหนังสือให้ดู ใครอ่านออกเขียนได้แกก็จะให้ขนมกิน เด็กคนไหนอ่านไม่ได้แกก็จะเรียกมาสอน วิธีสอนของแกก็ใช้วิธีแบบครูโบราณใช้นั่นแหละ คือให้อ่านแล้วก็สอนไป จ้ำจี้จำไชไป จนอ่านได้ทุกคน พอเด็กชักเบื่อแกก็ให้ขนมกิน เล่านิทานให้ฟังบ้าง แกไม่ดุเด็ก แกทำเหมือนยายสอนหลาน และแกก็รักเด็กจริงๆ ทราบว่าคุณยายคนนี้ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่แกทำแล้วมีความสุข
ตอนหลังครูในโรงเรียนพอพบเด็กที่อ่านหนังสือไม่ออกก็จะส่งมาให้คุณยายช่วยสอน และก็สำเร็จทุกรายไป ผมก็เลยพูดเล่นๆไปว่า “น่าจะแบ่งเงินเดือนของครูคนนั้นให้คุณยายด้วยนะ”
อีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องเล่าที่ครูโรงเรียนหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า มีครูคนหนึ่งท่านเกษียณอายุราชการไปนานแล้ว สมัยก่อนก็ได้รับเงินบำนาญเพียงไม่กี่พันบาท ท่านยังเป็นโสด และก็อายุยืนด้วย หลังอายุ 70 ปี ท่านเริ่มเจ็บป่วยลง ซึ่งการไปโรงพยาบาลแต่ละครั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก แต่ด้วยอานิสงส์ของการเป็นครูดี ที่อยู่ในใจของศิษย์แต่ละรุ่น พอลูกศิษย์แต่ละรุ่นได้ทราบข่าวว่าครูเจ็บป่วย ก็จัดทีมไปดูแลครูของเขากันอย่างต่อเนื่อง โดยมีโปรแกรมจัดคิวพาครูไปหาหมอ ดูแลเรื่องการรับประทานยา อาหาร เฝ้าไข้ ดูแลความเป็นอยู่ รวมทั้งค่าใช้จ่ายต่างๆทั้งหมด จวบจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตคุณครู เมื่ออายุเกือบ 90 ปี ลูกศิษย์ทุกรุ่นได้จัดงานพระราชทานเพลิงศพให้คุณครูของเขาอย่างสมเกียรติ
ผมเลยคิดว่าครูดีดีที่มีจิตวิญญาณความเป็นครูอย่างแท้จริง ท่านจะอยู่สูงเหนือผลทางวัตถุหรือแม้แต่ยศตำแหน่งใดใด ความสุขของท่านคือการได้ฝึก อบรม สั่งสอน ให้ศิษย์เป็นคนดี มีความรู้ และประสบความสำเร็จในชีวิต
ฟังเรื่องราวของครูที่มีจิตวิญญาณความเป็นครูแต่ละท่านทำให้นึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่เคยอ่านเจอ เขาได้ให้ความหมายประเภทของครูไว้สองคำ คือคำว่า อาชีพครู และครูอาชีพว่า
“อาชีพครู คือครูผู้ประกอบอาชีพสอนหนังสือ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งหารายได้กับความก้าวหน้าในอาชีพ มุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความมั่นคงในชีวิต ด้วยการดิ้นรนขวนขวาย ยกระดับปรับวุฒิตนเองให้สูงยิ่งขึ้น เพื่อมุ่งสู่การเป็นครูชำนาญการพิเศษ ครูเชี่ยวชาญ และครูเชี่ยวชาญพิเศษ สำหรับรองรับฐานเงินเดือน และฐานะทางสังคมที่สูงขึ้น ขอบเขตงานและเวลาในการสอนจะจำกัดเฉพาะเวลาราชการเท่านั้น ส่วน ครูอาชีพ หมายถึงครูที่เป็นครูด้วยใจรัก ตั้งใจและพร้อมที่จะเป็นครูในทุกๆด้าน ทั้งด้านความรู้ ความประพฤติ การวางตน การเอาใจใส่ดูแลศิษย์ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นครู อุทิศตนให้แก่การสอนอย่างเต็มที่และเต็มเวลา มิได้คำนึงถึงรายได้กับความก้าวหน้าของตนเท่ากับบทบาทความเป็นครู ความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่เป็นเพียงผลพลอยได้จากการทำความดีเท่านั้น บางขณะเป็นทั้งพ่อ แม่ เพื่อน พี่ไปพร้อมๆกัน แม้เกษียณอายุไปแล้วก็ยังเป็นครูจวบจนชั่วชีวิต”
อย่างนี้นี่เองที่ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเคยพูดให้ฟังว่า “คนที่เกิดมาเป็นครูได้นั้นเป็นผู้มีบุญกว่าใครๆ เพราะพระพรหมท่านกำหนดไว้แล้วว่าต้องเป็นผู้ที่มีพรหมวิหาร 4 คือ มีความเมตตา กรุณา มุฑิตา และอุเบกขา ต่อลูกศิษย์ของตน” ท่านยังพูดทิ้งท้ายให้เราคิดว่า
“แล้วเราได้ทำหน้าที่สมกับที่พระพรหมท่านส่งมาเกิดรึยัง”
*********************************
ไม่มีความเห็น