ผมขออนุญาตแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่องเล่าของครูบุญถึง(ผมเอง)เรื่องที่ 3 ซึ่งเป็นบันทึกเรื่องราวของเด็กคนหนึ่งที่มีความฝัน ...มีโลกในใจของตนเอง...เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีโอกาสได้เป็นครู เขาจึงสานฝันนั้นให้เป็นจริง โดยปฏิบัติต่อเด็กๆของเขาเหมือนที่เขาอยากให้เกิดกับตนในวัยเด็ก ผมหวังว่าเรื่องเล่า(บันทึก)นี้ จะช่วยสะกิดใจครู ช่วยปลุกจิตวิญญาณความเป็นครูให้เกิดความตระหนักในบทบาทหน้าที่ของตนเอง ในการอบรมสั่งสอน ดูแลช่วยเหลือเด็กๆที่จะเป็นอนาคตของชาติ หยั่งถึงโลกในใจของพวกเขา ช่วยยกระดับจิตวิญญาณของพวกเขาให้เป็นเด็กดีและมีความเจริญก้าวหน้า เป็นเยาวชนที่มีคุณภาพของประเทศชาติสืบไป และหวังว่าบันทึกนี้จะเป็นข้อคิดให้แก่พ่อแม่ ผู้ปกครอง และผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงการศึกษาทุกคนด้วยครับ
เรื่องที่ 3 เมื่อครั้งเป็นครูประจำชั้นนักเรียนห้องเก่ง
เสร็จภารกิจเป็นครูประจำชั้นห้อง มศ.3/5 ยังไม่ทันหายเหนื่อยดี ขึ้นปีการศึกษาใหม่ ก็ได้รับคำสั่งให้เป็นครูประจำชั้น มศ. 3/1 ปรับอุณหภูมิไม่ทันจนแทบจะเป็นไข้
จากที่เคยให้ดูแลนักเรียนห้องยอดเกเร และผลการเรียนต่ำสุด ให้มาดูแลนักเรียนห้องเรียนเก่งสุด คงต้องปรับกลยุทธ์กันใหม่ ต้องเตรียมตัวปรับใจให้สอดคล้องกับบริบทและสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
อาศัยที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปี จึงพยายามเชื่อมโยงหากลวิธีที่จะดูแลเขาให้ดีที่สุด โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการพัฒนานักเรียนที่มีพื้นฐานทางสติปัญญาดี ให้เขาได้รับการส่งเสริม ได้รับโอกาส ประสบการณ์ในการพัฒนาความรู้ความสามารถอย่างเต็มตามศักยภาพ พร้อมทั้งได้รับการกล่อมเกลาให้เป็นเยาวชนคนดีของสังคมไปพร้อมกัน
งานแรกที่ต้องวางแผนเตรียมการคือ การหาวิธีรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคลให้มากที่สุด เป็นการรู้เขารู้เรา ให้ได้ข้อมูลทุกด้านของนักเรียน เพื่อนำมาวิเคราะห์ปัญหา สาเหตุของปัญหา จุดเด่น จุดด้อย โอกาส อุปสรรค สำหรับหากลวิธีดูแลช่วยเหลือเขาให้ได้มากที่สุด เนื่องจากปีนี้ไม่ต้องไปเยี่ยมบ้านนักเรียนทุกคนเหมือนปีที่แล้ว เพราะนักเรียนส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่ค่อนข้างมีความพร้อม ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แม้เด็กบางคนจะอยู่ในครอบครัวที่มีฐานะยากจนหรือปานกลาง แต่ก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่ผู้ปกครองอย่างอบอุ่น รวมทั้งตัวนักเรียนเองก็มีความรับผิดชอบ มีวินัยในตนเองสูง ตั้งใจเรียน จึงไม่มีวี่แววว่าจะสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าเรื่องความประพฤติแต่อย่างใด วิธีการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลนักเรียนรายคน ส่วนใหญ่จะได้จากการอ่านประวัติและการพบปะพูดคุยกับพ่อแม่ผู้ปกครอง นอกนั้นก็เป็นการคุยกับเพื่อนสนิทของนักเรียน คุยกับเพื่อนครูที่เคยสอน เป็นต้น ซึ่งก็สามารถรับรู้ข้อมูลนักเรียนได้มากทีเดียว
สิ่งที่ผมสบายใจอย่างมากคือ ความร่วมมือของพ่อแม่ผู้ปกครองนักเรียน เขาเอาใจใส่ดูแลลูกหลานเขาดีจริงๆ ทำให้เรานึกฝันไปว่าถ้าสังคมไทยเรามีสถาบันครอบครัวที่อบอุ่น โรงเรียนก็คงไม่ต้องทำงานหนักอย่างทุกวันนี้ เพราะถ้าแม่แบบดี เด็กๆก็จะได้ซึมซับสิ่งที่ดี ช่วยหล่อหลอมกล่อมเกลาจิตวิญญาณเขาให้เป็นคนดีมีคุณธรรมไปเอง
เคยอ่านพบข้อมูลการสำรวจชีวิตความเป็นอยู่ของนักเรียนมัธยมที่เข้ามาเรียนในโรงเรียนต่างๆ พบสถิติว่า เด็กได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับพ่อแม่มีไม่ถึงครึ่ง นอกนั้นราวร้อยละ 70 พบว่าครอบครัวไม่ค่อยสมบูรณ์ บ้างก็ครอบครัวหย่าร้างกัน หรือพ่อแม่ต้องไปทำงานต่างถิ่น ปล่อยเด็กให้อยู่กับญาติผู้ใหญ่ซึ่งก็มีฐานะไม่ค่อยดี หรือไม่ก็อยู่กันตามลำพัง เป็นต้น เมื่อหัวใจเขาแตกร้าวตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จะเยียวยาอย่างไรก็คงทำให้สมบูรณ์ได้ยาก
พ่อแม่ ผู้ปกครองห้อง3/1 แต่ละคนน่ารักมาก เชิญประชุมครั้งใดก็จะมากันโดยพร้อมเพรียง สนใจติดตามถามไถ่เรื่องลูกของตนเอง มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับลูกก็จะเล่าให้ฟังหมด ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพฤติกรรมเปิ่นๆ เชยๆ ที่ดูน่ารักของลูกนั่นแหละ ก็ทำให้เรารู้นิสัยใจคอของลูกศิษย์ และพ่อแม่ของเขาด้วย ดูผู้ปกครองแต่ละคนไว้ใจเราจัง
ที่เป็นเช่นนี้คงมาจากเพื่อนนักเรียนและรุ่นพี่ๆเขาเล่าพฤติกรรมของผม โดยบอกกันปากต่อปาก และนักเรียนเขาก็อยากมาเป็นลูกศิษย์ห้องเรากัน ทั้งๆที่ผมเป็นครูที่ค่อนข้างดุ เข้มงวด พูดจริงทำจริง ทำอะไรเกาะติด ประเภทกัดไม่ปล่อย
แต่คงเป็นเพราะเราเป็นคนไม่เจ้าอารมณ์ มีเหตุมีผล พูดจาสุภาพ และเขารู้ว่าเรารักและปรารถนาดี จริงใจต่อเขา เสียสละ ไม่หวังผลประโยชน์อะไรจากนักเรียน และโดยนิสัยส่วนตัวของผมก็ไม่ชอบให้นักเรียนมาพินอบพิเทา หรือทำอะไรที่เหลาะแหละ ไม่จริงจัง หรือเข้ามานัวเนียแบบเลี้ยงไม่โต เพราะผมอยากให้เขามีความมั่นใจในตนเอง และพึ่งตนเองได้
เราให้ที่อยู่ที่ติดต่อสะดวกซึ่งกันและกัน เพื่อเป็นเครือข่ายดูแลกัน ซึ่งก็ยังมีพ่อแม่ผู้ปกครองมาหาที่บ้านพักครูอยู่ประจำเหมือนเดิม แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการมาปรึกษาเรื่องการเรียน ความก้าวหน้าของลูก มาเล่าความดีของลูก ความติ๊งต๊องของลูกให้เราฟัง ไม่ค่อยจะมีปัญหามาให้เราแก้ไขเหมือนเมื่อปีที่แล้ว
พอหมดห่วงเรื่องพฤติกรรมไม่ดีของลูกๆเรา แต่ก็ยังไม่วางใจเสียทีเดียว จึงเป็นโอกาสดีให้เราคิดหาวิธีทำให้เขาเก่ง เขาดี เขาก้าวหน้าให้มากที่สุด เช่น พยายามเสาะแสวงหาเวทีประกวด แข่งขัน ตอบปัญหาทางวิชาการ ในทุกระดับให้ลูกๆเราได้ไปหาประสบการณ์ จัดให้มีการติวเข้ม ซักซ้อม ทาบทามครูเก่งๆมาช่วยลูกศิษย์เรา แสวงหาแหล่งเรียนรู้ที่ใหม่ๆทันสมัยมาให้ไปศึกษาค้นคว้า ตลอดจนการดูแลเรื่องการบริหารตนเอง ให้ใช้เวลาให้คุ้มค่าเกิดประโยชน์มากที่สุด และ การดูแลสุขภาพกาย จิตใจ
ที่สำคัญที่สุดคือการสอนเขาให้เป็นเด็กที่มีคุณธรรมน้ำใจ รู้จักดูแลช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่เอาแต่แข่งขันกัน โดยจะมีกิจกรรมให้เขาได้ทำงานร่วมกัน ให้คิดและช่วยกันทำงานเป็นทีม จัดให้เพื่อนที่มีความรู้ดีในเรื่องหนึ่งไปช่วยติวช่วยอธิบายให้เพื่อนในเรื่องที่ยังไม่เข้าใจ รวมทั้งมีกิจกรรมให้เขาได้มีใจแบ่งปันความรู้แก่เพื่อนห้องอื่น ตลอดจนไปช่วยสอนวิชาต่างๆให้นักเรียนรุ่นน้องด้วย โดยผมจะกล่าวยกย่องชมเชยพวกเขาทุกครั้งที่ทำความดีเพื่อผู้อื่น เพื่อฝึกเขาให้ลดความเป็นอัตตา มีจิตสาธารณะ และมีความสุขจากการเป็นผู้ให้
ผมมีวิธีสร้างความเข้าใจ ความตระหนักให้เกิดแก่พ่อแม่ผู้ปกครองของนักเรียนวิธีหนึ่ง ด้วยการพยายามค้นหาเรื่องที่ดีของลูกศิษย์แต่ละคนที่ได้กระทำ แล้วก็เขียนจดหมายบอกให้ผู้ปกครองรับรู้ถึงความดีของลูกๆแต่ละคนในห้อง เพราะผมอยากให้พ่อแม่ผู้ปกครองเกิดความภาคภูมิใจในตัวบุตรหลานของเขา ซึ่งเราหวังไว้ว่าการกระทำดังกล่าวจะจูงใจให้พ่อแม่ผู้ปกครองเกิดความรัก ความเข้าใจ และหันมาใส่ใจดูแลช่วยเหลือบุตรหลานของตนมากขึ้นไปอีก และนี่คือตัวอย่างจดหมายฉบับหนึ่งของผม...
จดหมายจากครู ฉบับที่ 1
“สวัสดีครับ ท่านผู้ปกครองทุกท่าน เมื่อท่านผู้ปกครองได้รับจดหมายฉบับนี้ คงรู้สึกแปลกใจว่ามีเรื่องอะไรกัน ข่าวร้ายหรือไม่ ไม่ต้องตกใจนะครับ เป็นเพียงจดหมายแจ้งข่าวเกี่ยวกับลูกๆในห้อง 3/1 ของเรา ทำอย่างไม่เป็นทางการ เพียงแค่เล่าสู่กันฟังเท่านั้น เพราะเห็นว่า เปิดภาคเรียนมาประมาณ 2 เดือนแล้ว ท่านผู้ปกครองคงอยากทราบว่าลูกและเพื่อน ๆในห้อง ได้ทำกิจกรรมอะไร ได้รับประสบการณ์ ความรู้ ที่นอกเหนือจากบทเรียนอย่างไรกันบ้าง กิจกรรมที่ผ่านมา ได้แก่
8 มิ.ย. กมลและเสาวณีย์ เป็นผู้แทนห้องถือพานวันไหว้ครู
12 มิ.ย. กอบกิจ ไปแข่งขันทักษะด้านคณิตศาสตร์ที่โรงเรียนประจำจังหวัด และได้รับรางวัลชมเชย
17 มิ.ย. นักเรียนทั้งห้องได้ไปศึกษานอกสถานที่ที่ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ รวมทั้งพระบรมมหาราชวังและวัดสำคัญๆในประวัติศาสตร์
26 มิ.ย. มยุรี ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจากการประกวดแต่งกลอนในงาน วันสุนทรภู่ที่โรงเรียน
1 ก.ค. นักเรียนทุกคนไปร่วมงานวันสถาปนาลูกเสือ ณ ที่ว่าการอำเภอ
12 ก.ค.ปริญญา นพพร รุจิรา และกัญญา เป็นตัวแทนห้องร่วมกับนักเรียน ม.ศ.3 ห้องอื่นๆ ไปถวายเทียนพรรษาที่วัด
13 ก.ค. รุจิรา ได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันตอบปัญหาธรรมะในสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในวันอาสาฬหบูชา
19 ก.ค. ปัทมาและก่อเกียรติ รับทุนการศึกษาจากธนาคารกรุงเทพ
25 ก.ค. ราณี ปิยะมาศ กอบกิจ พรศรี นพพร และ ปริญญา เป็นทีมตัวแทนของโรงเรียนเข้าร่วมแข่งขันความสามารถทางวิทยาศาสตร์- คณิตศาสตร์ ในงานกิจกรรมพัฒนาความรู้ด้านวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ของโรงเรียนประจำจังหวัด และได้รับรางวัลรองชนะเลิศ
นอกจากนี้แล้ว ประไพ สมภพ และสมศักดิ์ ได้เข้าร่วมชมรมผู้บำเพ็ญประโยชน์ที่ผมเป็นผู้ก่อตั้งชมรม ได้ออกไปช่วยชาวบ้านทำนาในวันเสาร์ทุกเสาร์อย่างเข้มแข็ง
นักเรียนในห้องทุกคน มีน้ำใจไปช่วยสอนหนังสือให้น้องๆชั้น ม.ศ.1 และ ม.ศ.2 ที่โรงเรียนในช่วงเวลาว่าง
จะเห็นได้ว่าลูกๆของเราในห้องได้ทำกิจกรรมดีๆและมีผลงานเป็นที่น่าชื่นใจกันทุกคน จึงอยากจะให้พ่อแม่ผู้ปกครองลูกๆของเราภาคภูมิใจกันเหมือนกับผมด้วยครับ
จาก....ครูบุญถึง ครูประจำชั้นห้อง ม.ศ.3/1”
สำหรับรางวัลที่ให้แก่นักเรียนที่ไม่ขาดเรียนเลยตลอดภาคเรียน ผมก็ยังมีรางวัลให้เหมือนเดิม แต่รางวัลที่จะต้องให้แก่นักเรียนห้องนี้เป็นประจำคือ รางวัลสำหรับนักเรียนที่ชนะการประกวดแข่งขันในเวทีต่างๆนอกห้องเรียน จะมีมากเป็นพิเศษสำหรับห้องนี้
วันหนึ่งมีเรื่องตลกเกิดขึ้นคือ ผมได้มอบเงิน 5 บาทแก่มยุรีที่ไป ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจากการประกวดแต่งกลอนในงานวันสุนทรภู่ที่โรงเรียนจัดขึ้น
วันรุ่งขึ้นมยุรี เข้ามาหาผมแต่เช้า แล้วบอกว่า
“ เมื่อวานหนูไปคุยให้คุณแม่ฟัง เรื่องรางวัลที่คุณครูให้” ผมก็ถามว่า
“แล้วคุณแม่ว่ายังไง” มยุรีทำหน้ายู่ยี่ตอบ
“คุณแม่หนูไม่เชื่อ แม่หนูบอกว่า มีครูที่ไหนเขาจะให้รางวัลแก่เด็กที่ไปได้รางวัลมาแล้ว วันหลังคุณครูช่วยบอกแม่หนูทีนะค่ะ”
**************************************************
ไม่มีความเห็น