ผมขออนุญาตแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่องเล่าของครูบุญถึง(ผมเอง)เรื่องที่ 4 ซึ่งเป็นบันทึกเรื่องราวของเด็กคนหนึ่งที่มีความฝัน ...มีโลกในใจของตนเอง...เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีโอกาสได้เป็นครู เขาจึงสานฝันนั้นให้เป็นจริง โดยปฏิบัติต่อเด็กๆของเขาเหมือนที่เขาอยากให้เกิดกับตนในวัยเด็ก ผมหวังว่าเรื่องเล่า(บันทึก)นี้ จะช่วยสะกิดใจครู ช่วยปลุกจิตวิญญาณความเป็นครูให้เกิดความตระหนักในบทบาทหน้าที่ของตนเอง ในการอบรมสั่งสอน ดูแลช่วยเหลือเด็กๆที่จะเป็นอนาคตของชาติ หยั่งถึงโลกในใจของพวกเขา ช่วยยกระดับจิตวิญญาณของพวกเขาให้เป็นเด็กดีและมีความเจริญก้าวหน้า เป็นเยาวชนที่มีคุณภาพของประเทศชาติสืบไป และหวังว่าบันทึกนี้จะเป็นข้อคิดให้แก่พ่อแม่ ผู้ปกครอง และผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงการศึกษาทุกคนด้วยครับ
เรื่องที่ 4 วิธีสอนประวัติศาสตร์ของครูบุญถึง
ตอนเป็นเด็กผมไม่ได้ทานอาหารกลางวัน ก็จะหลบไปอ่านหนังสือในห้องสมุด หนังสือที่ชอบอ่านมากที่สุดคือวรรณคดีไทยและประวัติศาสตร์ หนังสือประวัติศาสตร์ที่อ่านในตอนนั้นแต่ละเล่มจะเขียนใกล้เคียงกัน สาเหตุก็คงมาจากคนเพียงไม่กี่คน ที่มีอิทธิพลทางสังคมในยุคนั้นๆเป็นผู้เขียน แล้วเราก็ร่ำเรียนกันมา ครูก็อธิบาย เล่าเรื่องตามหนังสือเรียนให้เราท่องจำและออกข้อสอบตามนั้น ซึ่งตอนเด็กๆผมก็สอบได้คะแนนดีในวิชานี้ด้วย เพราะจำเก่ง แต่จินตนาการก็ยังอยู่ในขอบเขตจำกัดตามที่ครูสอน พอขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้เรียนประวัติศาสตร์กับคุณครูอรุณี ท่านมีวิธีสอนที่ประทับใจทำให้ผมรักวิชานี้มากขึ้น และสนใจเรียนวิชานี้ในระดับที่สูงขึ้นในโอกาสต่อมา
พอได้เป็นครูสอนวิชานี้ ผมจึงให้คำจำกัดความของประวัติศาสตร์ว่า คือการศึกษาพฤติกรรมของมนุษยชาติในอดีตที่มีผลต่อสังคมทั้งในยุคสมัยนั้น หรือส่งผลกระทบเชื่อมโยงถึงปัจจุบันและอนาคต เป็นเรื่องราวที่นักประวัติศาสตร์เห็นว่ามีคุณค่า โดยอาศัยการค้นคว้า การรวบรวมข้อมูลและหลักฐาน ผ่านการประเมินความน่าเชื่อถือและตีความจากหลักฐานทั้งปวงที่มีอยู่แล้วเผยแพร่เป็นเรื่องราวให้สังคมรับรู้ จุดมุ่งหมายสำคัญของประวัติศาสตร์ก็คือความเข้าใจอดีตของสังคมมนุษย์นั่นเอง
ประวัติศาสตร์จึงเป็นศาสตร์ที่มีระเบียบวิธีการเฉพาะตัว เพื่อตอบสนองความสนใจใคร่รู้ของมนุษย์เอง เรื่องราวประวัติศาสตร์ขึ้นอยู่กับหลักฐานทางประวัติศาสตร์และการวิเคราะห์ตีความหลักฐาน ด้วยเหตุนี้ประวัติศาสตร์จึงเปลี่ยนแปลงได้ มิใช่ข้อยุติที่ตายตัวหรือจำกัดเพียงเรื่องราวในอดีต แต่หมายถึงการศึกษาอดีตด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ และด้วยการวิเคราะห์ตีความหลักฐานตามวิธีการทางประวัติศาสตร์ที่เป็นสหวิทยาการในปัจจุบัน
แต่การเรียนการสอนที่ผ่านมาเรามักเสนอความจริงเพียงด้านเดียว ตามหนังสือเรียนมักกล่าวเพียงว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร แล้วมักตามด้วยข้อสรุปเพียงว่า เพราะท่านรักชาติ เราจึงควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง และสำนึกในบุญคุณของท่าน แต่กลับหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงความผิดพลาดในอดีต การเรียนประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาจึงเหลือเพียงท่องจำ และนำไปสอบ ไม่จำเป็นต้องคิดวิเคราะห์ใดๆ นี่น่าจะเป็นจุดอ่อนที่เราควรต้องทบทวน
ผมคิดว่าเราน่าจะปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ให้สนุกและได้คุณค่าได้โดยที่ไม่ยึดติดที่หนังสือแบบเรียนเล่มเดียวเหมือนที่ผ่านมา การเรียนการสอนประวัติศาสตร์น่าจะมีแง่มุมมากกว่านำเรื่องที่บันทึกไว้แล้วมาบอกต่อ แต่คนเป็นครูน่าจะเป็นนักอ่านตัวยง มีความรอบรู้ในศาสตร์หลายๆแขนง
ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ ของผมจึงกำหนดให้มีกติกาที่สร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน ตามจุดมุ่งหมายที่กล่าวไว้ในเบื้องต้น โดยผมจะเป็นแบบอย่างของนักวิชาการที่มีความรอบรู้ มีความเที่ยงตรง เป็นกลาง และมีวิธีการที่เหมาะสมในการปลูกฝังสร้างความตระหนักให้นักเรียนเรียนเกิดความรัก ความสามัคคีในชาติ และ ความภาคภูมิใจในความเป็นชาติอย่างแท้จริง บนพื้นฐานของข้อมูลที่น่าเชื่อถือ อ้างอิงได้ จากหลายๆแหล่งที่ไม่ใช่มาจากตำราเล่มเดียว หรือจากการใช้สามัญสำนึก หรือจากครูเป็นผู้ชี้นำให้โน้มเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งจะเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาสติปัญญาของผู้เรียน
การจัดการเรียนรู้ของผมจึงเริ่มต้นโดยการกำหนดประเด็นหรือสาระในการศึกษา แล้ววางแผนแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มให้ไปสืบค้น ศึกษาข้อมูลจากบันทึก หนังสือ และหลักฐานต่างๆ โดยผมจะกำหนดประเด็น กิจกรรม และแหล่งเรียนรู้ที่ท้าทายหลากหลาย
เมื่อทั้งครูและนักเรียนต่างก็มีข้อมูลความรู้ที่หลากหลาย แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์แลกเปลี่ยนกัน รวมทั้งบูรณาการเชื่อมโยงกับศาสตร์แขนงต่างๆ ฝึกการตีความเหมือนนักกฎหมาย เทียบเคียงกับบันทึกหรือหลักฐานต่างๆ ผมจะเป็นผู้ใช้คำถามกระตุ้นให้นักเรียนเกิดการคิดวิเคราะห์สังเคราะห์อย่างเต็มที่ โดยไม่ชี้นำ เช่น อาจตั้งคำถามว่า
“จากที่เราไปศึกษากันมา มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้อะไรบ้าง”
“นักเรียนรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“ถ้านักเรียนสามารถทะลุมิติไปอยู่ในเหตุการณ์นี้ จะตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างไร”
“ทำไมนักเรียนจึงตัดสินใจเช่นนี้ มีข้อมูลสำคัญอะไรที่ทำให้นักเรียนเชื่อเช่นนั้น”
“ถ้านักเรียนคิดเช่นนั้น จะเกิดผลดีหรือเกิดประโยชน์อย่างไร”
“การตัดสินใจเช่นนี้ จะมีผลกระทบที่ไม่ดีเกิดขึ้นในระยะสั้นและระยะยาวหรือไม่”
“ลองทบทวนใหม่อีกครั้งซิ ว่านักเรียนจะตัดสินใจอย่างไรในกรณีนี้”
“ลองสรุปผลการวิเคราะห์เรื่องนี้ของพวกเราทั้งหมดซิว่า คืออะไร”
ฯลฯ
เมื่อผมใช้กระบวนการเรียนรู้ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง จึงพบว่า นักเรียนมีความรู้งอกเงยขึ้นทั้งในระดับตนเอง และในระดับชั้นเรียนจนบางคนสามารถเขียนเป็นบทความได้ และนี่ก็น่าจะเป็นการสอนให้นักเรียนเกิดปัญญาได้อย่างแท้จริงกระมัง
นอกจากนี้ผมได้มีกิจกรรมที่ต่อยอดจากการวิเคราะห์สังเคราะห์กันในชั้นเรียนอีก เช่น การให้ผู้เรียนวิจัยสืบค้นภูมิปัญญาและแหล่งประวัติศาสตร์ในท้องถิ่น การเปรียบเทียบบันทึกต่างๆทางประวัติศาสตร์ของประเทศตนเองกับประเทศอื่นๆ การแข่งขันตอบปัญหาเชิงวิเคราะห์สังเคราะห์ การทัศนศึกษาแหล่งประวัติศาสตร์ การอภิปราย การโต้วาที การประกวดบทความเชิงประวัติศาสตร์ เป็นต้น
พูดถึงการเขียนบทความเชิงวิเคราะห์สังเคราะห์ประวัติศาสตร์ ทำให้นึกถึงบทความของอาจารย์ท่านหนึ่งที่ผมติดตามอ่านเป็นประจำในหนังสือพิมพ์รายวันในช่วงหลังๆ บทความของท่านเขียนจากข้อมูลที่อ้างอิงได้หลายๆแหล่ง ผนวกกับองค์ความรู้ที่ท่านมีอย่างมากมายหลายแขนงทั้งด้านการเมือง การปกครอง รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ วรรณคดี ฯลฯ แล้วสอดแทรกด้วยอารมณ์ขันที่ท่านมีอยู่ ท่านจึงสามารถวิเคราะห์เทียบเคียงกับเหตุการณ์ปัจจุบันได้อย่างครื้นเครงและเห็นภาพพจน์ โดยไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง แต่ก็ไม่ลืมที่จะกระตุ้นสำนึกให้คนไทยมีความรักชาติ แม้ท่านจะเขียนถึงเบื้องสูงด้วยภาษาที่เรียบง่าย ไม่ใช้ราชาศัพท์เสียทีเดียว แต่ก็ไม่จาบจ้วง จึงทำให้บทความของท่านมีเสน่ห์ กินใจ ได้ทั้งความรู้และความบันเทิงที่หาคนเขียนเช่นนี้ได้ยาก จึงอยากยกตัวอย่างบทความบางตอนมาเล่าสู่กันฟัง เช่น เรื่อง “อมรรัตนโกสินทร์” ท่านเล่าให้เห็นภาพกรุงธนบุรีได้อย่างเห็นภาพพจน์ในตอนหนึ่งว่า
“...แนวเขตพระมหานครด้านธนบุรีในช่วง 15 ปี ในรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรี เริ่มจากปากคลองบางกอกใหญ่(บางช่วงเรียกคลองบางหลวง) ตรงนั้นมีป้อมวิไชยประสิทธิ์สร้างสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เลาะชายฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นไปทางเหนือ ผ่านพระราชวังธนบุรี(วันนี้เป็นกองทัพเรือ) วัดอรุณฯ(สมัยนั้นเป็นวัดในวังไม่มีพระอยู่) คลองมอญ คุกหลวง เรือนขุนนาง เรือนเจ้าพระยาจักรี(รัชกาลที่ 1) วัดบางหว้าใหญ่(วัดระฆัง) สวนมังคุด สวนลิ้นจี่ แล้วจบที่คลองบางกอกน้อย(วันนี้คือชายขอบโรงพยาบาลศิริราช) ส่วนราษฎรมักอยู่อาศัยทางฝั่งบางกอก แต่พอออกไปแถวผ่านฟ้า สะพานมัฆวาน บางลำพู เยาวราช ยังเป็นทุ่งนาป่ารกและเสือชุมนัก แถวมหาดไทยและกลาโหมก็ยังเป็นป่าช้าจีน
เหลือเชื่อว่าที่ตั้งโรงพยาบาลศิริราชทุกวันนี้ 250 ปีก่อน เป็นสวนมังคุดและสวนลิ้นจี่ที่อุดมสมบูรณ์ รสชาติหวานอมเปรี้ยวราวกับลิ้นจี่เมืองเหนือ 500 ปีก่อน แม่น้ำเจ้าพระยาตรงศิริราชถึงหน้าวัดอรุณฯยังไม่มี เป็นแต่แผ่นดินคนเดินข้ามไปมาได้ แม่น้ำเจ้าพระยาสายจริงไหลจากนครสวรรค์ผ่านอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี ลงใต้มาจนถึงแถวสะพานพระปิ่นเกล้า แล้วเลี้ยวขวาหักศอกคดเคี้ยวผ่านสารพัดบาง ไปไกลราวค่อนวันจึงกลับออกมาทางข้างวัดอรุณฯ แล้วเลี้ยวขวาหักข้อศอกอีกทีผ่านสะพานพุทธไปลงอ่าวไทย...พระชัยราชานั่นแหละโปรดฯให้ขุดคลองลัดตรงจากสะพานพระปิ่นเกล้าไปถึงสะพานพุทธราว 2 กิโลเมตร ตรงนั้นเลยกลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาสายใหม่...ส่วนแม่น้ำสายเดิมที่เลี้ยวเข้าไปข้างศิริราชกลับตื้นเขินและแคบลงกลายเป็นคลองบางกอกน้อย และที่ไหลออกข้างวัดอรุณฯกลายเป็นคลองบางกอกใหญ่…”
อีกตัวอย่างหนึ่งที่ท่านเขียนบูรณาการประวัติศาสตร์วิเคราะห์ ตีความ ให้เข้ากับวรรณคดี ทำให้เราอ่านวรรณคดีไทยได้สนุกมีรสชาติขึ้น เช่น
“...รัชกาลที่ 2 ..ทรงมีเสน่ห์เอาการเพราะวาทะโวหารหวานนัก...ต่อมาไปโปรดเจ้าฟ้าหญิงบุญรอด พระธิดาสมเด็จ พระพี่นางพระองค์น้อยของรัชกาลที่ 1 พูดง่ายๆว่าเป็นลูกสาวของป้าจึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ฝีมือเจ้าฟ้าบุญรอดเป็นเลิศทางการครัว กับข้าวคาวหวาน แกะสลักผักผลไม้ เจ้าฟ้าฉิมจึงทรงไปมาหาสู่อยู่ร่วม 2 ปี
รัชกาลที่ 1 กริ้วมากว่าพระเจ้าลูกเธอลบหลู่ผู้ใหญ่ไม่ยำเกรง ไม่ให้ขึ้นเฝ้า ทั้งยังทรงจับแยกกัน เจ้าฟ้าฉิมตรอมพระทัยอยู่นาน เข้าใจว่าระหว่างนั้นเองที่ทรงพระนิพนธ์กาพย์ชมเครื่องคาวหวานฝีพระหัตถ์เจ้าฟ้าบุญรอด ตั้งแต่มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง จนถึงของหวาน เช่น ทองหยอดทอดสนิท ทองม้วนมิดชิดความหลัง สองปีสองปิดบัง แต่ลำพังสองต่อสอง
คนสมัยก่อนอ่านกาพย์บทนี้แล้วอมยิ้มเพราะข้อความนี้คือความในพระทัยรำลึกถึงความหลังครั้งที่เคยเสด็จไปมาหาสู่กันร่วม 2 ปี...ที่จริงรัชกาลที่ 2 ยังมีมเหสีอีกคือ เจ้าฟ้ากุลฑลทิพยวดี พระราชธิดารัชกาลที่ 1 แม่ท่านเป็นลูกกษัติรย์ลาว แต่รัชกาลที่ 2 ก็ไม่ทรงยกย่องเป็นอัครมเหสี แม้กระนั้นเจ้าฟ้าบุญรอดก็ทรงหึงจนกริ้วไม่ตรัสด้วย เรียกว่าเลิกทำกับข้าวคาวหวานถวายเลยทีเดียว รัชกาลที่ 2 เสด็จไปง้อก็ไม่ทรงเปิดประตูรับ เรื่องราวของรัชกาลที่ 2 กับเจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้าบุญรอดน่าสนใจมาก เจ้าฟ้ากุณฑลท่านยังแรกรุ่นและงามนัก เมื่อรัชกาลที่ 2 ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนา คนจึงมักเปรียบเทียบพระองค์ว่าเป็นอิเหนา เจ้าฟ้าบุญรอดเป็นจินตะหรา เจ้าฟ้ากุณฑลเป็นบุษบา บทเจรจาตัดพ้อต่อว่าระหว่างอิเหนากับจินตะหรา เช่น ตอนอิเหนาไปง้อแล้วจินตะหราไม่เปิดประตูรับ หรือตอนจินตะหรางอนใส่บุษบาเมื่อตอนเดินสวนทางกันมีอยู่จริงและตรงกันกับที่รัชกาลที่ 2 ทรงง้อเจ้าฟ้าบุญรอดและเจ้าฟ้าบุญรอดกริ้วไม่ตรัสกับเจ้าฟ้ากุณฑล...”
และเรื่องหนึ่งที่ผมชอบที่สุดคือ เรื่อง "วาเลนไทน์แบบไทยๆ" ที่ท่านเขียนในวันวาเลนไทน์ไว้ตอนหนึ่งว่า
"...รัชกาลที่ 4 เมื่อขึ้นครองราชย์ได้สถาปนาหลานปู่ของรัชกาลที่ 3 พระองค์หนึ่งเป็นสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี พระอัครมเหสี ด้วยความรักที่พระองค์มีต่อรัชกาลที่ 3 ผู้เป็นพี่ต่างพระราชชนนี และมีพระประสงค์จะสืบสายสัมพันธ์ให้ยั่งยืน รัชกาลที่ 3 โปรดปรานสมเด็จพระนางเจ้า ผู้เป็นหลานปู่พระองค์นี้มาก เคยโปรดเกล้า ให้สร้างวัดพระราชทาน ชื่อวัดราชนัดดาราม เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสฯ สวรรคต รัชกาลที่ 4 พระสวามีทรงอาลัยมาก โปรดเกล้า ให้สร้างวัดริมคลองผดุงกรุงเกษมที่เพิ่งขุดใหม่เป็นอนุสรณ์แห่งความรักพระราชทานนามว่าวัดโสมนัสวิหาร สมเด็จฯ พระองค์นี้จึงมีวัดเป็นอนุสรณ์ 2 วัด ปู่สร้างให้ 1 วัด พระสวามีสร้างให้อีก 1 วัด
ต่อมารัชกาลที่ 4 โปรดเกล้า ให้สร้างวัดของพระองค์เองคู่กันอีกวัดที่ริมคลองเดียวกันตั้งชื่อตามพระนามเดิมว่าวัดมกุฏกษัตริยาราม วัดนี้มาสร้างต่อและบูรณะจนเสร็จโดยรัชกาลที่ 5 และพระราชโอรสธิดาของรัชกาลที่ 4 ร่วมกันทำถวายพระบรมราชชนกจึงเป็นวัดสามีภริยาและลูกมาช่วยสร้างต่อเติมให้พ่อเข้าอีก อยู่เชิงสะพานมัฆวานทั้งสองวัด พระมเหสีพระองค์ต่อมาของรัชกาลที่ 4 คือ พระนางเธอรำเพยภมราภิรมย์ มีพระราชโอรส ซึ่งเป็นเจ้าฟ้าชายพระองค์ใหญ่ ภายหลังได้ขึ้นเป็นรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้า ให้สถาปนาพระอัฐิพระบรมราชชนนีเป็นสมเด็จกรมพระเทพศิรินทรามาตย์ และโปรดเกล้า ให้สร้างวัดที่ริมคลองผดุงกรุงเกษมอีกแห่งเป็นอนุสรณ์จากลูกถึงแม่ ชื่อวัดเทพศิรินทราวาส..."
คนอะไรช่างสามารถหักมุมวันวาเลนไทน์ซึ่งเป็นของฝรั่งให้มาเป็นวันแห่งความรักของคนไทยได้อย่างเนียนที่สุด โดยท่านสรุปตอนท้ายว่า
"...เราไม่ควรนึกถึงวัดโสมฯ วัดมกุฏฯ วัดเทพฯ เพียงแค่ว่าเป็นวัดใหญ่ มีเมรุใหญ่ ไปสวดไปเผาศพกันบ่อย แต่ควรถือว่า 3 วัดนี้คือทัชมาฮาลเมืองไทย เป็นอนุสรณ์แห่งความรักระหว่างสามีกับภรรยา บุตรกับบิดา และบุตรกับมารดาที่อยู่เรียงกันริมคลองเดียวกัน ถ้าไม่รักไม่ตั้งใจทำคงสร้างไม่ได้อย่างนี้..."
ผมจึงเชื่อว่า การสอนประวัติศาสตร์นั้น ครูควรสร้างบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตย โดยส่งเสริมให้นักเรียนกล้าที่จะคิด กล้าที่จะตัดสินใจ และยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น หากมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือดีกว่า และคำนึงถึงผลดี ผลเสียทั้งในระยะสั้นและระยะยาวที่จะตามมา โดยเชื่อว่าความรู้ที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ เกิดจากการวิเคราะห์และสังเคราะห์จากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน หากมีการสืบค้นพบข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากกว่านี้อีกก็สามารถทบทวนได้อีก
เช่นเดียวกับที่เราเคยเชื่อในอดีตว่าถิ่นไทยเดิมอยู่ดินแดนเทือกเขาอัลไต แต่ปัจจุบันความเชื่อนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปตามข้อมูลใหม่แล้ว เป็นต้น
ไม่มีความเห็น